วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2554

เล่าเรื่องพี่เฟิสท์ (P'First) 6

บทสรุป

ตัวตนของมนุษย์เรานี้ประกอบด้วย ๒ ส่วนสำคัญคือ ร่างกายและจิตวิญญาณ เมื่อร่างกายดับสูญถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน มิได้หมายความว่าจิตวิญญาณจะมอดไหม้ไปด้วยกัน ใครทำกรรมดีจิตวิญญาณก็จะไปตามกรรมดี ใครทำไม่ดีจิตก็จะไปตามนั้นเช่นกัน
“...วิญญาณเป็นอมตะ คือไม่มีการสูญสลาย มีแต่ความคงอยู่ตลอดไป หากแต่เปลี่ยนที่ เปลี่ยนรูป และมีรูป กับไม่มีรูป สามารถสิงสถิตย์อยู่ในรูปใดๆหรือวัตถุใดๆก็ได้ อาจอยู่ชั่วนิรันดรกาลหรือชั่วขณะก็ได้ แต่ถ้าเข้าสู่ภพรูปมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายแล้ว จะต้องมีอายุขัยตามกำหนดของฟ้าดิน จะฝ่าฝืนไม่ได้”
“...วิญญาณมี 6 พวก
1 พวกสูงที่สุด วิญญาณพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า พระอรหันต์เจ้า พระพรหมในชั้นสุทธาวาส และองค์เทวในเทวโลก คือท่านผู้สิ้นกิเลสอาสวะทั้งปวง
2 วิญญาณผู้สำเร็จเป็นพระอนาคามี ท่านเทพชั้นสูงและพระพรหม
3 วิญญาณเทพชั้นสูง และผู้สำเร็จชั้นสกิทาคามีและโสดาบัน พระอินทร์กับเทพที่อยู่ชั้นเดียวกัน พระพรหมตั้งแต่ปาริสัชชาพรหมถึงพรหมโลกชั้นที่ 12 และในเทวโลกอันมีเทพบุตร เทพธิดาทั้งปวง
4 วิญญาณของท่านที่ทำคุณงามความดี เป็นเศรษฐี พระราชา ราชินี เทวดา นางฟ้า เทพารักษ์ ทั้งรุกขเทวดา อากาสเทวดา พฤกษเทพ พระภูมิเทวาทั้งหญิงชาย ถ้าเป็นมนุษย์ก็เป็น มุขอำมาตย์ ราชการชั้นสูง ฯลฯ คนชั้นสูงที่ทรงคุณงามความดี
5วิญญาณพวกคนชั้นกลางมีสภาพกึ่งสุขกึ่งทุกข์ ลุ่มๆดอนๆ รวมถึงวิญญาณเร่ร่อนพเนจรเพราะมีกุศลไม่ตลอด ทำดี ทำชั่วคละเคล้ากันไป
6 วิญญาณที่ได้รับทุกข์อยู่ในยมโลก อบายภูมิ 4 มี นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน พวกชอบก่อกรรมทำเข็ญ สร้างแต่อกุศลโหดร้ายทารุณ แสวงหาความสุขบนทุกข์คนอื่น กินเลือดกินเนื้อผู้อื่น”
“...ดวงวิญญาณที่ออกจากร่าง (คนตาย) นั้นในตอนแรกจะวนเวียนอยู่สักครู่หนึ่งก่อน พอให้ได้สติกลับคืนแล้ว ท่านมัจจุราชหรือบริวารของท่านก็จะรับพามายังยมโลกนี้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบพิจารณาความดีความชั่วที่ดวงวิญญาณกระทำไว้แต่ครั้งยังไม่ตาย ครั้นได้ทราบแจ่มแจ้งแล้วจะนำตัวเข้ามาซักถามชี้แจงถึงผลกรรมหรือวิบากกรรมให้ทราบ”
“...กรณีที่เอาดวงวิญญาณผิด คืออาจผิดไปบ้างเร็วไปบ้าง ก็ต้องส่งกลับทันที ถ้าสังขารไม่บอบช้ำเกินไปก็ถือว่าตายแล้วเกิดใหม่ แต่ถ้าตรงกันข้ามก็เป็นจิตวิญญาณรออยู่”

...คุณฉัตรแก้วถามว่า ‘First หรือลูก’ ครั้งแรกเขาไม่ได้ตอบแต่พอคุณฉัตรแก้วถามอีกที คราวนี้เขาพยักหน้า ยังคงนั่งก้มหน้าน้ำตาไหล คุณฉัตรแก้วถามต่อว่า ‘เป็นอย่างไรบ้าง’ เขาบอกว่า ‘มันมืดมองไม่เห็น’ แล้วก็พูดว่า ‘เจ็บ แม่ครับ First เจ็บ’ มือของเขากุมอยู่ที่ท้ายทอย ดิฉันเริ่มได้สติเริ่มพิจารณาท่าทาง และยิ่งเห็นมือที่กุมอยู่ที่ท้ายทอยก็มั่นใจว่าต้องเป็นพี่ First เพราะลูกเสียชีวิตเพราะศีรษะได้รับความกระทบกระเทือนอย่างแรง ฐานกะโหลกแตก ลูกเริ่มกระสับกระส่ายมากขึ้นเพราะความเจ็บปวด ดิฉันถามอาจารย์ว่า ‘กอดเขาได้ไหม’ ท่านพยักหน้า ดิฉันกอดเขาไว้และปลอบเขา แต่เขายังคงกระสับกระส่ายอยู่ในอ้อมกอดของดิฉันและบ่นว่าเจ็บ ดิฉันสงสารลูกกอดลูกไว้บอกให้ลูกทำสมาธิ ทำใจให้สงบ ให้คิดถึงคุณพระคุณเจ้า แต่เขาก็ไม่ดีขึ้นเลย ยังคงกระสับกระส่ายด้วยความเจ็บอยู่อย่างนั้น และพูดว่า ‘แม่ครับ First เจ็บ แม่ครับ First เจ็บ’ ดิฉันจึงหันไปหาอาจารย์ขอความช่วยเหลือถามว่า ‘จะช่วยอย่างไรดีละคะ’ ท่านบอกให้พวกเราพนมมือและสวดตามท่าน พอพวกเราสวดจบท่านก็สวดต่อ ลูกในร่างของเพื่อนก็เริ่มหยุดอาการกระสับกระส่ายและค่อยๆล้มตัวลงมาบนตักดิฉันซึ่งนั่งอยู่ด้านหลัง ดิฉันไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในขณะที่ค่อยๆล้มตัวลงบนตัก แต่คุณฉัตรแก้วเล่าให้ฟังทีหลังว่า ‘ลูกยิ้มเหมือนยามที่เขายิ้มตอนมีความสุข ยิ้มไปยิ้มมาเหมือนตอนที่เขาได้ของจากพ่อและมีความสุข ไม่มีความเจ็บปวดใดหลงเหลืออยู่อีกเลย’
...‘เขาหิวโหยต้องให้อาหารก่อน พอเขาแข็งแรงแล้วเขาจึงจะมีพลัง’ ท่านแนะนำให้ใส่บาตร ๔ ชุด กับพระ ๔ รูป ต่อเนื่อง ๗ วันเพื่อเป็นอาหารทิพย์ให้แก่จิตวิญญาณของลูก และให้สวดยอดพระกัณฐ์ไตรปิฎกให้ ๑ วัน ท่านบอกว่า ‘จิตวิญญาณเขายังอยู่กับพ่อและแม่’
...พอรับรู้ว่าจิตวิญญาณลูกอยู่กับเรา ดิฉันก็เริ่มพูดคุยกับเขาเหมือนที่เขายังมีชีวิตอยู่ ดิฉันนั่งมองรูปเขาสอนเขาให้อดทน ให้สวดมนต์พร้อมๆไปกับดิฉันทุกครั้ง และก่อนสวดมนต์ทุกครั้งดิฉันจะระลึกถึงอาจารย์ท่านนั้นก่อน ขอให้ท่านแบ่งผลานิสงส์ของท่านช่วยนำทางให้เราแม่ลูกสวดมนต์และทำในสิ่งที่ดีที่ถูกต้อง
...คุณฉัตรแก้วเริ่มถามว่า ‘ตอนนี้จิตวิญญาณลูกเป็นอย่างไรบ้าง พวกเราทำตามที่อาจารย์แนะนำอย่างดีที่สุด จิตวิญญาณเขาได้รับไหม’ อาจารย์ตอบว่า ‘เขาได้รับแล้วและตอนนี้เขาไปดีแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง อาจารย์ได้ช่วยเปิดทางให้เขาอีกด้วย เขาไปสบายแล้ว’
...อาจารย์มองมาทางดิฉันบอกว่า ‘ให้ทำใจเพราะตอนนี้ความเป็นแม่ลูกของเราทั้งสองคนหมดไปแล้ว ต้องทำใจ ทุกคนมีวิถีทางของตนเอง ตอนเขาอยู่เขาก็ทำให้เราเป็นทุกข์เป็นร้อนไม่ใช่หรือ ถ้าเขายังอยู่เราก็จะเป็นทุกข์ใจกับเขาอยู่อย่างนั้นอีก ทำใจซะ เขาไปดีแล้ว’
...คุณฉัตรแก้วถามต่ออีกว่า ‘ทำไมเขาจึงนำทางพวกเรามาพบกับอาจารย์ที่นี่ได้’ อาจารย์อธิบายให้ฟังว่า ‘เวลาท่านไปไหนมาไหนอาจารย์จะอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับจิตวิญญาณทั้งหลายที่ล่องลอยและเปิดทางให้มาพบ’
...หลังจากใส่บาตรดิฉันก็ไปออกกำลังกายเหมือนเช่นเคย และเดินคุยกับจิตวิญญาณลูกว่า ‘แม่รู้ว่าหนูยังอยู่ใกล้แม่และเริ่มแข็งแรงดีแล้ว เวลาที่จะต้องจากกันใกล้เข้ามาแล้วลูก แม่ดีใจมากที่สามารถช่วยให้ลูกพ้นทุกข์และจะได้ไปยังภูมิภพที่ดี แม่รักลูกมาก รักเท่าชีวิตแม่นี้แหละ แต่ความเป็นแม่เป็นลูกของเราในชาตินี้หมดลงแล้ว ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่จะต้องไป พี่ First ต้องไปนะลูกนะ ไม่ต้องห่วงพ่อกับแม่ ตอนนี้First ได้นำพ่อ แม่ น้อง มาพบทางธรรม ทางสว่างแล้ว ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นเกราะป้องกันพวกเราให้อยู่เย็นเป็นสุข ปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง และด้วยบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ที่ลูกได้สร้างนี้ แม่ขอให้จิตวิญญาณของลูกมีความสุขตลอดไป ถ้าชาติหน้ามีจริงแม่มั่นใจว่าเราจะได้เกิดมาเป็น พ่อ แม่ ลูก พี่ น้อง กันอีก เราจะมีพระพุทธศาสนาเป็นที่พึ่ง เป็นเครื่องนำทาง เราจะอยู่กันไปจนแก่เถ้า เราจะไม่พลัดพรากจากกันเหมือนในชาตินี้อีกนะครับ วันใด เวลาใดที่ลูกต้องไปขอให้แม่รับรู้ถึงอ้อมกอดของลูกก่อนจากด้วยนะครับ’
...นอกจากดีใจแล้วดิฉันยังรู้สึกภูมิใจอีกด้วยที่ลูกยังมีน้ำใจคิดช่วยเหลือคนอื่นเหมือนเช่นเคย ฉันบ่นพึมพำกับตัวเองว่า ‘ดีแล้วละลูกที่ช่วยเขา พอเขาพ้นทุกข์ เราก็จะพลอยมีความสุขไปกับเขาด้วย และนี่ก็เป็นอานิสงส์อีกอย่างหนึ่งที่ลูกจะได้รับเช่นกัน’ ดิฉันคิดต่ออีกว่า ‘แหมไม่เสียแรงเลี้ยงกันมา สอนกันมา ตั้งแต่ยังมีชีวิต จนเหลือเพียงจิตวิญญาณ’
...แม่ถามว่าทำไมจิตวิญญาณเขาถึงอยู่ที่โรงพยาบาลและเขาออกมาได้อย่างไรถ้ามีคนคุมอย่างนั้น อาจารย์บอกว่าจิตเขาแตกดับที่โรงพยาบาล และก่อนที่จิตจะดับจิตเขารอแม่
...พ่อก็ถามว่า “ทำไมเขาถึงอยู่โรงพยาบาล” Aj บอกว่า “ช่วงจิตก่อนดับเขารอแม่และพ่อเป็นเสมือนแรงอธิษฐานของเขา จึงทำให้จิตเขาไม่ดับสลาย ทำให้เขาสามารถรวมพลังจิตมาทำให้พ่อเห็นได้ในตอนหลัง” และ Aj เล่าต่อว่า “เขายังไม่ถึงอายุขัย เขาเอาไปผิดตัว ที่เขาตั้งใจมาเอาเป็นเพื่อนของเขาที่นั่งอยู่เบาะด้านหลังเขา จึงเป็นเหมือนการต่ออายุให้เพื่อนเขาช่วงขณะนั้น”
...พ่อก็นั่งคิด Aj บอกว่า “เขาบอกว่า พ่อไม่ต้องเสียใจหรอกอย่างไรเขาก็อยู่ในจิตของพ่อ แม่ และน้องอยู่แล้ว” และ Aj ก็เล่าต่อว่า “ต่อไปพ่อก็จะสื่อกับเขาได้เอง สื่อในที่นี้หมายถึงใช้จิตคุยกันเหมือนดังที่ Aj คุยกับเขา”

...ช่วงที่คุยกับ Aj เรื่องที่จิตวิญญาณอยู่ในโรงพยาบาลพ่อก็นึกเหมือนกันว่าจะเป็นโรงพยาบาลไหน เพราะเหตุเกิดอยู่ใกล้โรงพยาบาลบางนา 2 พ่อไม่แน่ใจว่าเขาพามาที่นี่หรือเปล่า พ่อก็พูดว่า “โรงพยาบาลแรกหรือโรงพยาบาลที่ 2 ที่ตำรวจนัดให้มารับเขา ถ้าโรงพยาบาลที่ 2 ก็ชื่อโรงพยาบาลบางพลี” พอถึงตอนนี้ Aj บอกว่า “เขาบอกว่าโรงพยาบาลบางพลี”
...Aj บอกว่าให้เตรียม 2 ชุด เหมือนไปขอบุญแต่อยากได้ ผ้าไกรหรือผ้าอะไรก็ได้ที่พระต้องใช้ ที่เราสามารถพอจัดได้ แต่พ่อก็เตรียมชุดใหญ่ให้ เพราะ Aj ทิ้งท้ายไว้ว่า “ถ้าเป็นทางโลกเหมือนเราจ่ายค่าเบิกทาง จะดีอย่างไรก็ขึ้นกับค่าเบิกทาง”
...จากนั้นก็ขับรถเข้าไปที่วัดบางพลีกลางที่อยู่ก่อนจะถึงโรงพยาบาลบางพลี ก่อนจะลงจากรถเพื่อถวายของพระที่วัด Aj บอกว่า “ให้หิ้วลงไป 1 ถัง และให้จบให้กับจิตวิญญาณที่อดยาก ทุกข์ทรมาน และเจ็บปวด”
...พอมาถึงกุฏิพระที่ตั้งอยู่ลึกลับและซับซ้อนมาก พ่อก็จบตามคำที่ Aj แนะนำไว้ แค่เริ่มตั้งจิตอธิษฐานหลังจากจบ “นะโม” พ่อรู้สึกสัมผัสได้ทั้งตัว รุนแรงมาก และแผ่ซ่านไปตั้งแต่กลางตัวขึ้นมา พอเดินออกมาขึ้นรถ Aj บอกว่า “ที่นี่แรงมาก แทบไม่มีที่จะเดิน”
...อาจารย์บอกว่าจิตวิญญาณเยอะมากจนไม่มีที่จะเดิน กลิ่นน้ำหนองคละคลุ้งไปหมด อาจารย์ถึงเข้าใจว่าจิตวิญญาณ P’First ลำบากขนาดไหน บุญที่ได้มาในแต่ละวันต้องแบ่งให้กับจิตวิญญาณพวกนี้จนหมด ตัวเขาเองเมื่อถึงโรงพยาบาลบางพลีก็หมดแรง แต่เขาก็เพียรทำทุกวัน ทั้งๆที่เขาไม่ได้อะไรเลย เขาทำเพียงเพื่อนำพ่อแม่มาทำบุญ มารับบุญ เท่านั้นเอง แม่ฟังแล้วชื่นใจเหลือเกิน แม่รับรู้ถึงความรัก ความกตัญญูของเขาที่มีต่อเรา แม่เคยถามเขาว่าเขาจะบวชให้แม่ไหม ตอนนี้ก็เท่ากับว่า P’First บวชให้พ่อกับแม่แล้ว อาจารย์พูดว่าเขานำเรามาแต่ไม่มีกายสังขารเป็นเครื่องยืนยันว่าเขานำมา อาจารย์เล่าต่อว่าพอเห็นสภาพที่ลำบากของ P’First และได้เห็นความกตัญญูที่เขามีก็รู้สึก ปิติ และมีกำลังใจที่จะช่วยเหลือ
...ขับรถต่อออกไปทางบางปลา ถ.เทพารักษ์ และเข้าไปที่วัดบางปลา Aj บอกว่า “ถังนี้ให้จบให้กับจิตวิญญาณ P’First “พ่อขึ้นไปที่กุฏิพระกับน้าพล Aj นั่งรอในรถ ขณะจบเสร็จน้าพลบอกว่า “เขารับรู้แล้ว” แต่พ่อรับความรู้สึกไม่ได้ ใจสั่น ๆ เฉย ๆ
...พอเลี้ยวเข้าไปถึงโรงพยาบาลบริเวณลานจอดรถ ฝนตกพรำ ๆ Aj บอกว่า “ให้จอดรถไว้ที่ลานจอด” บอกพ่อให้ “ลงจากรถ จุดธูป 1 ดอก และให้เรียกเขากลับบ้านกับพ่อ เสร็จแล้วให้ปักธูปไว้” ช่วงขณะที่เรียกเขารู้สึกขนแขนรุกทั้งสองข้าง คิดว่าอาจจะเกิดจากฝนตกหรือเปล่า แต่จริง ๆ แล้วเป็นความรู้สึกไม่ใช่เกิดจากฝนตก
...Aj ชี้ให้ดูที่หน้าโรงพยาบาลและบอกว่า “ให้เดินเข้าไปและขึ้นบันได ขึ้นไปพอถึงขั้นที่ 3 นับจากข้างบนลงมาให้หันหลัง เดินกลั้นใจกลับลงมาตั้งแต่บันไดขั้นที่ 3 จนถึงพื้นชั้นล่าง”
...มาถึงที่หน้าบ้านประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง Aj รอในรถ บอกพ่อให้จุดธูป 1 ดอก ปักไว้นอกบ้านบอกว่า “จิตวิญญาณทั้งหลายที่มาส่งให้กลับไป”
...ประมาณ 5 ทุ่มหลังจากคุยกับ Aj, พิศ, ปู พ่อก็ขอตัวกลับ Aj บอกว่า “เขาไปกับพ่อ พอพ่อไปทำงานเขาก็กลับมาที่นี่” พ่อไม่ได้พูดอะไรแล้วก็ขอลากลับ
...มาสะดุ้งตื่นตอนได้ยินเสียงเตียงดังเหมือนคนมาทำอะไรที่เตียงพ่อ พอรู้สึกตัวขึ้นมา พ่อก็รู้สึกซ่านไปทั้งตัวเป็นเวลา 2-3 นาที ตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงเส้นผม และเข้าไปในจิต ช่วงขณะนั้นพ่อก็พูดกับเขาว่า “พ่อรู้แล้วว่า First มา ต่อไปก็อยู่กับพ่อไม่ต้องไปโรงพยาบาลอีกแล้ว อยากไปที่ไหนก็ตามใจแต่ขอให้กลับมาหาพ่อที่บ้าน” ซึ่งความรู้สึกซ่านไปทั้งตัวก็ค่อย ๆ หายไป (ซึ่งช่วงขณะนั้นมีความรู้สึกที่ดีและหลับตาก็เห็นแสงอะไรที่สวยงามดีจริง ๆ)
...แม่เลยถามถึงจิตวิญญาณว่าเป็นอย่างไรบ้าง หมัยว่าตอนนี้เขามาอยู่ที่บ้านแล้ว แต่บอกว่าเขาหงุดหงิดเวลาที่เขาไปขอบุญกันแต่พ่อไม่ได้ไปด้วย เขาอยากให้พ่อได้บุญเหมือนคนอื่นๆ หมัยบอกอีกด้วยว่าเขาเป็นห่วงแม่เพราะแม่อยู่ไกลและอยู่คนเดียว หมัยบอกว่าเขารอแม่ถ้าแม่กลับไปคราวนี้เขาก็คงไป แม่คิดว่าที่จริงเขาสามารถไปได้แล้วเหมือนอย่างที่เรารู้ แต่ความห่วงความผูกพันยังมีจึงรอ ที่จริงสำหรับตัวแม่หลังจากบินกลับไปเมื่อปลายปีที่แล้ว P’First ก็หายไปจากชีวิตแม่เลย แม่เห็นแต่ใครก็ไม่รู้นอนอยู่ในโลงตอนที่จะเผา ที่แม่บอกพ่อว่า “ไปเถอะพ่อ ไม่ใช่ P’First ลูกเราหรอก”
...P’First ก็ยังเป็น P’First เหมือนเดิม เขายังใช้วิธีการเดิมที่ใช้ตั้งแต่เล็กจนเดี๋ยวนี้ ถ้าพ่อจำได้พ่อเป็นคนเล่าให้แม่ฟังเองว่า สมัย P’First ยังเล็กเวลาพ่อจะออกไปสังสรรค์กับเพื่อนตอนกลางคืน ใจจริงเขาไม่อยากให้พ่อไปหรอกแต่เขาไม่รู้จะทำอย่างไร ด้วยความเป็นคนช่างคิด เขาบอกให้พ่อซื้อขนมมาฝากเขาเพราะเขาหวังว่าพ่อจะรีบกลับบ้านเอาขนมมาให้เขา ตอนนี้ก็เหมือนกัน วันไหนพ่อไปสวดมนต์เขาก็จะขอกินซาลาเปากับ pepsi จริงแล้วเขาไม่ได้หิว แต่เขาต้องการบอกให้พ่อรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่นะ พ่อจะได้มาหาเขาบ่อยๆและในขณะเดียวกันพ่อก็จะได้สวดมนต์ด้วย นี่แหละคือ P’First
...อ่านแล้วก็อ่านอีก อ่านวันละหลายรอบ ยิ่งอ่านก็ยิ่งเห็นภาพชัดขึ้นเรื่อยๆว่า P’First กำลังพาพวกเรา รวมถึงตัวเขาเอง หนีออกจากบ่วงกรรมที่กำลังวิ่งตามมาติดๆ นึกถึงภาพตอนจิตเขาจะดับ แต่ด้วยแรงอธิษฐานที่จะรอพ่อกับแม่ให้ได้ ทำให้จิตเขาไม่แตกสลาย และแรงพอที่จะสัมผัสกับพ่อได้ในเวลาต่อมา นี่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเรา พ่อ แม่ ลูก รักกัน ผูกพันกันแค่ไหน แม้จะต้องละกายสังขารจิตก็ยังรอกันอยู่ จิตเรานี่หนอมีอานุภาพจริงๆ และจิตนี่แหละคือตัวตนที่แท้จริงของพวกเรา
...จิตวิญญาณเพื่อน P’First คงจะมีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย คนแก่ คนหนุ่มสาว และเด็ก พวกนี้ ทั้งอด ทั้งเจ็บปวดและทรมาน แม่ไม่คิดว่าทุกจิตจะโดนญาติพี่น้องทิ้งหมด อย่างเราก็ทำให้ลูกเราอย่างเต็มที่ อย่างดีที่สุดที่เราจะทำได้ ทำทุกอย่างที่เขาบอกว่าทำแล้วดี ทำแล้วลูกจะมีความสุข แต่กลับตรงกันข้าม สุดท้ายลูกยังอยู่ที่โรงพยาบาล ทำไมลูกจึงไม่บอกเราก่อนหน้านี้ หรือต้องรอให้พ่อแม่มีบุญมากพอ อาจารย์จึงจะนำพาไปช่วยได้ อาจารย์บอกให้แม่เพียรทำไป เพราะไม่ได้ดีแค่ตัวเราเท่านั้น ครอบครัวเรา ลูกเราก็ดีด้วย ยังถามแม่อีกว่าอยากให้เขาหลุดไหม ถ้าป้อมหลุดเขาก็หลุด หลุดที่อาจารย์พูดถึงคือหลุดพ้นจากตรงนี้หรือเปล่า แม่ก็ไม่แน่ใจ หรือจะเป็นการหลุดพ้นครั้งยิ่งใหญ่คือจะได้ไปผุดไปเกิดในภพภูมิที่ดีขึ้น
อาจารย์พูดเสมอว่า
• เขาอยู่สูงสุดของจิตวิญญาณ
• เขาเป็นจิตวิญญาณที่ไม่ตายเปล่า
• เขานำพ่อแม่มาพบทางธรรม ถึงแม้ว่าจะไม่มีสังขารเป็นเครื่องยืนยัน
• จิตวิญญาณเขาไม่ยอม เขาจะเอาพ่อแม่เขามาให้ได้
• ตอนนี้เขาสบายแล้ว สบายมาก ไม่ต้องห่วงเขาเลย
• บุญที่ได้มาในแต่ละวันต้องแบ่งให้กับจิตวิญญาณพวกนี้จนหมด ตัวเขาเองเมื่อถึงโรงพยาบาลบางพลีก็หมดแรง แต่เขาก็เพียรทำทุกวัน ทั้งๆที่เขาไม่ได้อะไรเลย เขาทำเพียงเพื่อนำพ่อแม่มาทำบุญ มารับบุญ เท่านั้นเอง

• (แม่คิดต่อเอง) ส่วนจิตวิญญาณที่อาจารย์เอาไปไว้ที่วัดหลวงพ่อโตเหล่านั้น ไม่รู้ทนทุกข์ทรมานกันมานานแค่ไหนแล้ว แต่ก็ถือว่าโชคดีที่มี P’First ที่สามารถไปไหนมาไหนได้ และต้องเทียวเข้าเทียวออกผ่านวัดบางพลีกลางทุกวัน ทำให้ได้ผลบุญกันทุกวัน มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่บุญที่ขอมาได้ จิตบางจิตอาจได้ไปเกิดแล้ว เพราะอาจจะต้องการเพียงครั้งเดียวก็หลุดไปเลย แหมคิดอย่างนี้แล้วก็น่าชื่นใจแทนจิตวิญญาณที่ดีดวงนี้จริงๆ จิตวิญญาณดีกว่ามนุษย์ตรงที่ไม่มีสิ่งยั่วยุให้สร้างอกุศลกรรม เขารู้ดีว่าเมื่อถึงตอนไม่มีกายสังขารแล้ว บุญเท่านั้นคือสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทองที่ทุ่มเททั้งชีวิต จนลืมนึกถึงการทำบุญ ไว้สำหรับเป็นเชื้อเพลิงในการเดินทางไกลเมื่อดับจากภพภูมิมนุษย์ไปแล้ว
(...ถ้าดวงวิญญาณใดพ้นโทษความวิบากของตนแล้วยังไม่ไปจุติ และได้พยายามสร้างคุณความดีในปรโลก เช่นช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์ บำเพ็ญกรณียกิจในการพระพุทธศาสนา (หรือศาสนาอื่นใดก็ตามที่ตนยึดถือเพื่อความดี) รักษาศีล เจริญภาวนา บำเพ็ญญาณให้แก่กล้า รับฟังคำสั่งสอนธรรมและประพฤติธรรม ประกอบกับจิตตั้งยึดมั่นอยู่ในเทวธรรม คือ หิริ โอตตัปปะ และตั้งอยู่ในพรหมวิหารธรรม ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และมีเมตตา กรุณา เป็นอัปปมัญญาคือแผ่ไปไม่เลือกบุคคลสัตว์ ทั้งตั้งอยู่ในความสันโดษไม่โลภมากมากได้ ไม่เบียดเบียน เอาทรัพย์ หรือหาทรัพย์ในทางที่ผิด ตัดกิเลสให้เบาบางจนเหลือน้อยที่สุด ไม่ผูกพยาบาทอาฆาต จองเวร ไม่มีจิตคิด อิจฉาริษยาผู้อื่น โดยเฉพาะสิ่งสำคัญที่สุดในหมู่เทพและพรหมก็คือ การรักษาสัจจะและมีความซื่อสัตย์กตัญญูต่อผู้มีพระคุณ นับตั้งแต่ บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ ท่านผู้มีอุปการคุณ เทพเบื้องบนซึ่งเป็นชั้นผู้ใหญ่จนถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมจะช่วยให้ดวงวิญญาณนั้นมีความสุขความเจริญ เลื่อนขึ้นสู่ชั้นสูง มีเกียรติเป็นที่เคารพนับถือของวิญญาณดวงอื่นๆได้ ถ้ายิ่งสร้างสมบารมีให้มากยิ่งขึ้น ก็ยิ่งจะเป็นกุศลให้ได้เลื่อนชั้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีขีดขั้นจนสูงสุดตามแรงกุศลที่ตนได้สร้างไว้)

“ลูกเป็นห่วงเรามากจึงนำทางเรามาพบทางสว่างที่แท้จริง ตอนนี้จิตวิญญาณของเขาไปดีแล้วและได้รับทุกๆสิ่งที่เราทำไปให้’ ดิฉันเลิกเสียใจกับการจากไปของลูกเพราะรู้ว่าเขารักเรามาก และจิตวิญญาณเขาไม่ได้ดับสูญไปแต่อย่างใด เพียงแต่เขาแยกไปตามทางของเขา และลูกได้ทิ้งความดี ความรักที่บริสุทธ์ที่มีต่อพวกเราไว้ข้างหลังด้วย ตอนนี้ภาพที่ดิฉันเห็นเขาคือภาพที่เขาเดินมากอดดิฉันไว้ ครั้งที่ดิฉันบินกลับมาจาก Melbourne และไปเยี่ยมเขาที่ ABAC เป็นครั้งแรก”

ลาทีนะ เจ้านก หงส์หยกสวย
ขอบุญช่วย นำส่ง ทางสุขสันต์
อยู่ภพไหน ภูมิไหน ไม่สำคัญ
เจ้าอยู่ใน ใจแม่นั้น นิรันดร์กาล

จาก วิญญาณปรากฏตัวและระลึกชาติ ตอน 3 โอปปาติกะ ร่างทิพย์ ตายแล้วฟื้น (218-287)
โดย พลโทสมาน วีระไวทยะ

1 ความคิดเห็น:

  1. วันนั้น กับวันนี้ มันอาจดูยาวนาน หรือหลายปีมาแล้ว แต่บุคคลที่เป็นเจ้าของบทความนี้ ได้ทำทุกวิธี ที่จะบอกใจ ใจ คนที่ได้อ่าน ว่าหนทางที่ก้าวเดิน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เราต้องได้พบเจอ ในรูปแบบทีไม่ต่างกันนี้ ควรทำอย่างไร
    ขอบคุณมากค่ะ

    ตอบลบ