วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2554

บทเรียนธรรมะ

๗. การทำบุญ การขอบุญ การถ่ายเทบุญ

ถ้าพูดถึงการทำบุญ การขอบุญ สำหรับตัวดิฉันผู้ซึ่งไม่ค่อยจะเป็นชาวพุทธที่เคร่งครัดนัก ก็จะนึกถึงการไปใส่บาตร สวดมนต์ ฟังเทศน์ เวียนเทียนที่วัด หรือถ้าเป็นการเดินทางก็จะนึกถึงการเดินทางไปทอดกฐิน ทอดผ้าป่า และถ้าจะถามเรื่องการถ่ายเทบุญ หรือการแผ่บุญดิฉันก็จะนึกถึงตอนกรวดน้ำแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลไปให้แก่ เจ้ากรรมนายเวร และญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว แต่การไปทำบุญ การขอบุญ การถ่ายเทบุญ อย่างที่คุณฉัตรแก้วและดิฉันได้ร่วมเดินทางไปกับอาจารย์และเพื่อนๆที่สวดมนต์ด้วยกันนั้นแตกต่างไปจากกิจกรรมการทำบุญที่เราเคยทำอย่างสิ้นเชิง ดังเรื่องราวที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้
วันหนึ่งคุณฉัตรแก้วและดิฉันได้มีโอกาสร่วมเดินทางไปทำบุญ ขอบุญ และถ่ายเทบุญ กับอาจารย์และเพื่อนๆที่ร่วมสวดมนต์ด้วยกัน หลังจากที่ได้รับฟังเรื่องราวเกี่ยวกับกิจกรรมบุญเช่นนี้จากบุคคลเหล่านี้บ่อยๆ และดิฉันมีปัญหาเกิดขึ้นในใจมากมาย ดังเช่น การขอผลบุญตามโบสถ์ต่างๆทำอย่างไร การแบ่งปันบุญที่ได้รับให้แก่จิตวิญญาณต่างๆนั้นยากไหม รวมไปถึงการรวบรวมเทียนที่ได้จากการไปขอบุญตามโบสถ์ต่างๆ เพื่อมาหล่อองค์พระขนาดหน้าตัก ๓๒ นิ้วที่ว่ายากนั้นยากอย่างไร
ก่อนวันเดินทางเราถามอาจารย์ถึงเส้นทางการเดินทางว่าเราจะไปทางไหน อาจารย์ตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าเขาจะเปิดทางให้ไปทางไหน เราจะรู้แน่นอนหลังจากเสร็จสิ้นการเดินทางแล้ว” ฟังแล้วดิฉันก็งงอีก อาจารย์เห็นหน้าดิฉันก็ถามว่า “งงอีกแล้วซิ” ดิฉันก็รับว่า “ใช่ค่ะ” อาจารย์บอกว่า “เสร็จแล้วก็รู้เองละ” ดิฉันถามต่อว่าต้องเตรียมอะไรไปทำบุญบ้าง อาจารย์บอกว่า “เตรียมแค่ใจที่ไม่มีกังวลใดๆ และปัจจัยจำนวนหนึ่งที่จะซื้อของทำบุญไปตลอดเส้นทางเท่านั้น” ฟังแล้วดิฉันก็คิดว่าสะดวกดี ไม่ต้องมีพิธีการมากเหมือนเราไปผ้าป่า กฐิน หรือความสะดวกที่มีอาจเป็นเพราะสมาชิกในการทัวร์บุญครั้งนี้มีเพียง ๑๐ คน (รถตู้คันเดียว) เท่านั้น

เราสองคนตื่นแต่เช้าเพื่อให้มาถึงที่ร้านอาจารย์ตรงตามเวลานัด น้องๆช่วยกันเตรียมของใส่บาตรตอนเช้าและขนมรองท้องสำหรับทุกๆคน ก่อนออกเดินทางเราจุดธูปเทียนไหว้พระขอพร หลังจากนั้นการเดินทางบุญของเราก็เริ่มขึ้น เรามีน้าพลเป็นคนขับ อาจารย์นั่งข้างหน้ากับน้าพล แถวสองเป็น น้าสีดล พิศ และ ปู คุณฉัตรแก้ว ดิฉัน และน้าตู่ นั่งแถวถัดมา ยู กับ เจ สองหนุ่ม (อายุรุ่นราวคราวเดียวกันพี่เฟิสท์และน้องฟอร์ท) ลูกน้าสีดลนั่งหลังสุดมีตะกร้าหวายเปล่าที่เตรียมไว้สำหรับใส่สังฆทานถวายพระอยู่ตรงกลาง
เวลา ๖.๑๕ น. เราเริ่มออกเดินทางไปทางทิศตะวันออกเส้นทางรังสิต-นครนายก น้องๆแจก น้ำ ปาตังโก๋ และตะโก้ให้เราทานรองท้อง ขับไปได้สักครู่เราพบพระองค์หนึ่งเดินบิณฑบาต น้าพลจอดรถให้น้าสีดลเริ่มใส่บาตรเป็นคนแรก การใส่บาตรก็เหมือนเดิมคือต้องกล่าวคำถวายข้าวใส่บาตรก่อน และใส่ชุดอาหารในบาตรพระ เสร็จแล้วเราก็เดินทางต่อ ขณะนั้นพระอาทิตย์กำลังเริ่มขึ้นสู่ฟ้า อาจารย์บอกให้เราดูและจำภาพนี้ไว้ในใจ ดิฉันไม่ได้ถามว่าทำไม เพราะดิฉันเคยสอนจิตวิญญาณของลูกให้มองดวงอาทิตย์ขณะที่กำลังลอยขึ้นท้องฟ้า เห็นเป็นดวงสีแดง แสงยังไม่จัด เราสามารถมองเขาได้ด้วยตาเปล่า ดิฉันสอนลูกว่าชีวิตคนเราก็เหมือนพระอาทิตย์มีขึ้นมีตก ชีวิตคนก็มีเกิดมีดับ นี่เป็นสัจธรรมที่ใครก็หนีไม่พ้น เพราะฉะนั้นไม่ต้องเสียใจ ให้เข้มแข็ง ทุกคนจะต้องเป็นอย่างลูกเหมือนกันไม่ช้าก็เร็ว
ขณะที่น้าพลขับไปเรื่อยๆอาจารย์ก็จะเทศน์ให้เราฟังไปเรื่อยๆ (ที่จริงการเทศน์ของอาจารย์ที่ดิฉันพูดถึงก็คือการคุยเรื่องธรรมะที่มุ่งเน้นให้หลุดพ้น พร้อมยกตัวอย่างใกล้ๆตัวประกอบคำอธิบาย ทำให้การสอนเข้าใจได้ง่าย ไม่น่าเบื่อหน่าย) และดูเหมือนอาจารย์จะหยั่งรู้ว่าพวกเรากำลังคิดอะไรอยู่ เพราะอาจารย์จะถามเราก่อนแทบทุกครั้งว่าเรามีปัญหาอะไร หลายครั้งเราถึงกับหัวเราะออกมาดังๆเพราะอาจารย์ช่างรู้ใจจิตวิญญาณของเราไปเสียหมด น้าพลเลี้ยวซ้ายตรงไหนดิฉันก็ไม่ทราบ ขับผ่านหมู่บ้านพบพระข้างหน้าอีก ๒ องค์ คราวนี้อาจารย์ให้เรา ๕ คนลงไปใส่บาตร ขณะที่รถกำลังขับพาเราไปทำบุญต่อ ดิฉันก็ถามอาจารย์ว่า “อาจารย์ค่ะอาจารย์บอกว่าจิตวิญญาณมีอยู่ทั่วไป และสาเหตุของการที่จิตวิญญาณของพี่เฟิสท์ต้องหิวโหยทั้งๆที่เราก็ทำบุญไปให้ มาจากการกรวดน้ำแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลที่ไม่ชัดเจน ถ้าเรากรวดน้ำตอนที่พระท่านสวดยะถาสัพพีแผ่บุญกุศลของเรานั้น บทสวดบทนี้ไม่เฉพาะเจาะจง ดังนั้นจิตวิญญาณที่อยู่บริเวณนั้นจะรับผลบุญเราได้ทุกจิต” นึกภาพต่อนะคะลูกดิฉันเป็นสมาชิกใหม่คงจะได้กินหลังจากที่จิตวิญญาณเจ้าถิ่นเขากินหมดแล้ว คุณฉัตรแก้วถึงฝันว่าป้อนข้าวเด็กที่กำลังหิวได้แค่เพียงเศษเนื้อที่ติดอยู่ที่ก้างปลาเท่านั้น ดิฉันถามต่อว่า “ถ้าเราขอแค่รับพรพระอย่างเดียวแล้วมากรวดน้ำทีหลังก็ถือว่าเรา “lock บุญ” จิตวิญญาณแถวๆนั้นจะไม่สามารถรับผลบุญของเราได้ ก็น่าสงสารอีกนะคะ” อาจารย์ตอบว่า “ถึงเขาไม่ได้รับบุญเขาก็ได้รับพรจากพระ จิตวิญญาณเหล่านี้จะรับรู้ว่าเวลาเราทำบุญจิตใจเรามีแต่ความว่างเปล่า มิได้หวังผลใดๆ แค่นี้เขาก็พอใจแล้ว การเดินทางของเราก็จะราบรื่น” น้าพลเสริมว่า “จิตวิญญาณจะเปิดเส้นทางให้ หลวงพ่อจะรู้ ทางที่เขาเปิดให้เป็นทางลัด ถ้าปกติเราต้องใช้เวลา ๓ ชั่วโมง แต่เราจะใช้เวลาเพียงครึ่งเดียวคือหนึ่งชั่วโมงครึ่ง” ตรงนี้ดิฉันไม่ได้ถามอะไรต่อ เรายังคงเดินทางตามเส้นทางบุญเพื่อใส่บาตรด้วยวิธีนี้ไปเรื่อยๆจนครบคน
ก่อนเที่ยงวันนี้ทุกคนตั้งใจจะใส่บาตรกรวดน้ำคนละ ๒ ชุด ดังนั้นเราจึงต้องขับรถเพื่อหาซื้ออาหารสำหรับการใส่บาตรชุดที่ ๒ ระหว่างทางผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่งอาจารย์ให้เราแวะซื้อมะปรางที่เพิงข้างทาง แล้วก็แจกจ่ายให้ทานเป็นยา ขณะที่ทานมะปรางอาจารย์ก็ตั้งกระทู้ธรรมะให้เราขบคิดอีก ครั้งนี้ถามว่า “ทำไมต้องซื้อของข้างทาง ทำไมไม่ซื้อจากร้าน” ทุกคนก็ตอบตามความคิดของตัวเอง อาจารย์ยอมรับทุกคำตอบแล้วก็สรุปเพิ่มเติมว่า “ที่อาจารย์แวะซื้อที่นี่ก็เพราะจิตวิญญาณที่นี่เรียกร้องให้อาจารย์แบ่งบุญบารมีให้เพื่อเขาจะได้ไปผุดไปเกิดและอาจารย์ก็ต้องการช่วยเจ้าของร้านด้วย” เพื่อนที่นั่งมาด้วยกันบอกว่า “อาจารย์จะช่วยเหลืออย่างนี้เป็นประจำ แล้วอีกหนึ่งปีอาจารย์จะแวะมาดูอีกทีว่าคนที่อาจารย์ได้ช่วยเหลือเหล่านี้เป็นอย่างไรบ้าง แล้วเราก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของบุคคลเหล่านั้นจริงๆ เขาก็ดีขึ้นนะคะพี่” หลังจากกินมะปรางเป็นยาแล้วอาจารย์ก็พาเราแบ่งบุญกุศลให้แก่จิตวิญญาณ ธรรมชาติ ไม้ต้น และไม้ผล บางคนอาจสงสัยว่าการแบ่งบุญตรงนี้ทำอย่างไรและเรามีบุญพอที่จะแบ่งหรือ
การแบ่งบุญบารมีก็ทำง่ายๆโดยอาจารย์ให้เราตั้งนะโม ๓ จบ แล้วกล่าวตามอาจารย์ว่า
ขอบุญก็ดี ขอบารมีก็ดี ขอจงได้แก่ จิตวิญญาณทั้งหลาย ธรรมชาติทั้งหลาย ไม้ต้น และไม้ผลทั้งหลาย ขอจงได้รับบุญบารมีนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเทอญ
และก็มีคนถามต่อว่า “ตัวเราทำแบ่งบุญบารมีให้เขาเลยได้ไหม” อาจารย์ตอบว่า “ไม่ได้ต้องรอให้ถึงจุดที่เราสัมผัสได้ก่อนจึงทำให้ จิตวิญญาณเขาไม่ได้ต้องการบุญบารมีจากเราทุกจิต ดังนั้นจึงต้องรอให้เขามาขอก่อนจึงให้” น้าตู่เล่าว่าเคยรู้สึกเหมือนโดนดึงขาขณะขอบุญในโบสถ์ครั้งที่น้าตู่มาขอบุญคราวก่อน ว่าแล้วน้าตู่ก็ถามขึ้นลอยๆว่า “เรามาเส้นไหนเนี่ย” คุณฉัตรแก้วเลยแซวว่า “ไม่ต้องรู้หรอกเพราะเรามาทางลัด” น้องๆหัวเราะแล้วแซวว่า “พี่ฉัตรมาแรง” อาจารย์กำชับว่า “ถ้าเจออะไรตามท้องถนนอย่าทักนะ ให้ผ่านไปธรรมดา” ดิฉันคิดในใจว่าอะไรของอาจารย์นั้นคืออะไรหรือ
ขณะที่น้าพลขับรถพาเราไปตามสายบุญเรื่อยๆ เวลา ๗.๔๕ น. ดิฉันเหลือบไปเห็นป้ายบอกระยะทางข้างถนน แก่งคอย ๑๐ สระบุรี ๒๒ ดิฉันถามคุณฉัตรแก้วว่า “เราวิ่งเส้นไหนพ่อ” เขาตอบว่า “เส้นบ้านนา” ขับมาได้สักระยะอาจารย์ก็พาเราสวดแผ่บุญบารมีให้แก่จิตวิญญาณทั้งหลาย และสรรพสัตว์ทั้งหลาย อาจารย์บอกพวกเราว่า “เขาขอ เขานำมา เราก็จะแจกจ่ายให้” อาจารย์บอกต่ออีกว่า “สถานที่บางที่ที่เราผ่าน เขาไม่ได้ขอ เราก็ไม่ได้ให้” อาจารย์เริ่มตั้งกระทู้ใหม่ว่า “ทำไมไม่เบื่อกับการเดินทางอย่างนี้” พวกเราตอบว่าเราก็มีความสุขที่สามารถแบ่งบุญกุศลที่เราทำให้แก่จิตวิญญาณที่เขาต้องการ จิตวิญญาณบางจิตอาจไปผุดไปเกิดได้เลยเพียงแค่ขอรับบุญเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่เขาอาจรอโอกาสเช่นนี้มาเป็น ๑๐ ปี หรือ ๑๐๐ ปีก็ได้ อาจารย์ถามว่า “จิตวิญญาณเหล่านี้จะหิวมากไหมถ้าเปรียบเทียบเวลาเราหิว” พวกเราตอบว่าน่าจะมากกว่าเพราะถึงเราหิวอาหารเราก็ยังมีน้ำมีขนมพอปะทังไปก่อน แต่จิตวิญญาณเหล่านี้ไม่ได้รับอะไรเลย อาจารย์อธิบายต่อว่า “แม้น้ำที่ติดที่ใบหญ้าก็ยังกินไม่ได้ เพราะจิตวิญญาณของต้นหญ้าเขาก็ไม่ให้” อาจารย์ยังพูดต่อว่า “ถ้าเรามารถคันเดียวกัน การถอน การทำ การอธิบายจะสะดวกกว่าขับรถตามกันมา”
ขณะที่อาจารย์สอนธรรมะไปเรื่อยๆ ก็มีรถกระบะขนฟางข้าวแห้งแซงขึ้นไป อาจารย์ก็ถามดิฉันว่า “ป้อมจะกินหญ้าแห้งหรือหญ้าสด” ด้วยที่ยังตั้งตัวไม่ติดเลยตอบว่า “ป้อมไม่กินหญ้าค่ะ” พวกเราหัวเราะ อาจารย์ถามต่อว่า “เราอยู่บนรถจะกินหญ้าสดหรือหญ้าแห้ง” ดิฉันตอบว่า “ไม่แน่ใจ” อาจารย์ช่วยตะล่อมอีก เหมือนตอนดิฉันสอนนักศึกษาตอนจะขึ้นบทเรียนใหม่ ยังไงยังงั้นเลย “หญ้าแห้งสะดวกกว่าไหม” อาจารย์ยังลุ้นดิฉันต่อ ครั้นพออาจารย์เห็นถ้าว่าดิฉันจะขบธรรมะข้อนี้ไม่ได้จริงๆ เลยหันไปถามน้องที่มีประสบการณ์ด้านนี้มากกว่าดิฉันแทน น้องตอบว่า “ตอนแรกกินหญ้าสดต่อไปกินหญ้าแห้ง” เฮ้อ อาจารย์คงโล่งอกเหมือนดิฉันเวลาสอนลูกศิษย์เพราะเราจะได้สรุปเสียที ดังนั้นอาจารย์จึงสรุปว่า “เหมือนการสะสมบุญ เริ่มต้นเราต้องไปหา แต่พอทำไว้มากแล้วบุญจะมาเอง เหมือนหญ้าแห้งที่ไม่เน่าไม่เสียแต่หญ้าสดอยู่ได้ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น” ดิฉันพอจับหลักได้บ้างก็เลยพูดต่อว่า “คงเหมือนการทำมาหากินของคนเรานะคะ เริ่มต้นจากหาเงินได้แค่พอมีพอใช้ แต่พอทำไปเรื่อยๆไม่ย่อท้อก็จะมีเงินเหลือเก็บสะสม”
ขณะที่รถขับผ่านลำตะคอง วิวสวย อาจารย์ก็บอกว่านี่คืออาหารตา แล้วถามต่อว่า “อะไรคืออาหารจิตและอาหารวาจา” (ดิฉันเริ่มจับวิธีการสอนของอาจารย์ได้ อาจารย์จะเริ่มจากการตั้งข้อธรรมะให้เราขบคิด ถามความคิดเห็นทีละคน ดังนั้นทุกคนต้องตั้งใจฟังให้ดีเพราะต้องโดนแน่ๆ นึกแล้วก็คิดว่าอาจารย์ท่านนี้สอนทันสมัยดีนัก ถ้าพูดถึงทฤษฎีที่อาจารย์ใช้นี้ เรา(ครู)รู้กันดีว่าเป็นวิธีที่ทำให้ผู้เรียนรู้จักคิดเป็น มีเหตุมีผล อาจารย์ไม่เคยบอกว่าเราตอบผิด มีแต่พูดเสริมให้เราเข้าใจมากยิ่งขึ้น นี่เป็นวิธีที่ทำให้คนกล้าคิดกล้าพูด การจะทำให้คนกล้าคิดกล้าพูดเราต้องสร้าง ความไว้ใจ วางใจ ขึ้นมาก่อน โดยการทำให้ผู้เรียนรู้สึกว่าคำตอบของเราก็เข้าท่าแฮะไม่โง่เง่า ถ้าสร้าง ความไว้ใจ วางใจได้ ทุกคนจะกล้าพูดกล้าแสดงความคิดเห็นแน่นอน ประสบการณ์ตรงนี้พิสูจน์ความจริงในข้อนี้ได้ และดิฉันก็ได้พิสูจน์ความเชื่อนี้ด้วยตนเองมาแล้วโดยการนำไปใช้สอนลูกตัวเองและลูกศิษย์) สรุปแล้วอาหารจิตก็คือการทำบุญ การสวดมนต์ การถอน เพราะจะทำให้ใจที่หม่นหมองของเราใสขึ้นและมีสมาธิ ส่วนอาหารวาจาหรืออาหารของวาจาก็คือการพูดแต่สิ่งดี อาหาร(สิ่งดี) นั้นก็จะเข้าตัว ถ้าพูดไม่ดี อาหารไม่ดีก็เข้าตัวเช่นกัน
ขณะที่ขับผ่านร้านอาหารย่านลำตะคอง ที่หน้าร้านแต่ละร้านเรียงรายกัน จะมีคนแต่งตัวแปลกๆทำท่าโบกรถเรียกให้แวะทานอาหารที่ร้านของเขา อาจารย์ชมว่าคนพวกนี้ทำท่าทางเชิญชวนสวยดี ดิฉันนึกขึ้นมาได้เลยถามอาจารย์ว่า “อาจารย์คะแล้วจิตวิญญาณที่อยู่บนท้องถนนเวลาเขาต้องการผลบุญเขาจะทำท่าอย่างนี้ไหมคะ” อาจารย์ตอบว่า “ไม่นะ” พวกเราหัวเราะอาจารย์ก็พลอยหัวเราะไปกับพวกเราด้วย อาจารย์อธิบายต่อว่า “เขาจะกองกันอยู่บนพื้นถนน ถ้าใครสัมผัสได้จะรู้ว่าเราต้องขับรถลุยไปบนจิตวิญญาณเหล่านั้น”
ที่ลำตะคองอาจารย์พาเราแผ่บุญบารมีให้ธรรมชาติ และจิตวิญญาณใต้น้ำ อาจารย์บอกว่ามนุษย์ไม่เคยทำบุญให้ธรรมชาติมีแต่ใช้เขาและด่าว่าสาปแช่งเขา คนที่ตายกับธรรมชาติ เช่นโดนฟ้าผ่า หายไปกับน้ำหรือแผ่นดินถล่ม พวกเขาเหล่านั้นทำกรรมกับธรรมชาติทั้งนั้น การทำบุญให้กับธรรมชาติ ผลบุญจะช่วยเราให้แคล้วคลาดจากโทสะของจิตวิญญาณธรรมชาติ อาจารย์เล่าต่อว่าจิตวิญญาณใต้น้ำอดอยากหิวโหยมากถ้าญาติพี่น้องไม่อุทิศผลบุญให้จะได้บุญจากใคร ดิฉันเสริมว่า “พระท่านก็ไม่ไปบิณฑบาตในลำตะคอง”
“หินก็มีชีวิต” อาจารย์ยังคงเล่าต่อ “ในสมัยโบราณคนถูกสาบเป็นหิน และได้ออกลูกออกหลานเพิ่มขึ้นมาเรื่อย และหินยังเกิดมาจากการทับถมของจิตวิญญาณซากพืชซากสัตว์ ดังนั้นหินจึงมีจิตวิญญาณและต้องการผลบุญเช่นกัน”
เราแวะจอดซื้ออาหารสำหรับใส่บาตรช่วงใกล้ถึงโคราช นอกจากซื้ออาหารใส่บาตรแล้วอาจารย์ยังมียาแจกให้พวกเราอีก ยาของอาจารย์วันนี้เป็นยาที่อร่อยที่สุดในชีวิตของดิฉัน มีไข่ปิ้ง พายสับประรด และตะโก้สาคู ที่จริงอาจารย์คงตั้งใจจะให้เรากินรองท้องเพราะสายมากแล้ว แต่ทุกอย่างที่อาจารย์ให้อาจารย์จะแผ่เมตตาบารมีมาให้ด้วย ดังนั้นจึงนับเป็นยาได้ทั้งหมด นึกได้ดังนี้ดิฉันรับรู้ถึงความเป็นห่วงเป็นใย ความเมตตาที่อาจารย์มีให้กับพวกเรา ความรู้สึกนี้เหมือนความรู้สึกของแม่ที่มีต่อลูกๆ แม่จะคอยเป็นห่วงเป็นกังวลว่า ถึงช่วงนี้ตอนนี้ตรงนี้ต้องพาเขาทำอย่างนี้ ต้องพาเขากินอย่างนั้น พาเขาคิดอย่างโน้น (ตรงนี้ดิฉันคิดเปรียบเทียบจากประสบการณ์ความเป็นแม่ของตัวเองค่ะ)
ขณะเดินทางต่ออาจารย์ถามทุกคนว่า “ถึงตอนนี้ได้อะไรบ้างและการมาวันนี้เหมือนหรือต่างกับการเดินทางตามปกติของเราอย่างไร” ดิฉันตอบว่าการเดินทางวันนี้จุดหมายปลายทางคือมาทำบุญ มาขอบุญ และมาแผ่บุญ การเดินทางของเราไม่รีบร้อน เราไปเรื่อยๆ เราทำบุญ เราแผ่บุญบารมีให้แก่จิตวิญญาณที่เข้ามาขอกับอาจารย์ตลอดเส้นทางที่ผ่าน ถ้าให้วาดภาพก็จะเป็นภาพเต่าตัวหนึ่งที่เดินอยู่บนถนน เต่าตัวนี้เดินไปเรื่อยๆ มีเป้าหมายต้องการไปทำบุญ ขอบุญ และถ่ายเทบุญให้แก่จิตวิญญาณที่ตกทุกข์ได้ยากไปตลอดการเดินทาง แต่การเดินทางครั้งนี้แตกต่างจากการเดินทางตามปกติของครอบครัวเราอย่างสิ้นเชิง ในการเดินทางตามปกติเรามีจุดหมายปลายทางที่แน่นอนเช่นกัน แต่คุณฉัตรแก้วจะรีบขับรถพุ่งไปยังจุดหมายปลายทาง ซึ่งบ่อยครั้งด้วยความเร่งรีบ ทำให้เราพลาดที่จะได้ชื่นชมกับธรรมชาติข้างทาง ถ้าจะให้วาดภาพก็จะเป็นภาพของเจ้ากระต่ายที่วิ่งตะบึงพาครอบครัวไปยังจุดหมายปลายทางให้ทันตามหมายกำหนดการ สายตาของเจ้ากระต่ายก็จะจับจ้องอยู่แต่ทางข้างหน้าที่จะไป ไม่เคยสนใจสิ่งใดๆข้างทางเลย ถ้าจะถามถึงความรู้สึกที่มีต่อสองสถานการณ์ ส่วนตัวของดิฉันเองตอบได้เลยว่าต่างกันคนละขั้ว วันนี้ดิฉันมีความสุขที่ได้ทำบุญ มีความสบายใจที่ได้ช่วยเหลือ ถึงแม้ว่าดิฉันจะสัมผัสกับจิตวิญญาณไม่ได้เลย แต่ก็มีความสุขอยู่ลึกๆ ดิฉันไม่ต้องเครียด ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องคอยลุ้นกับการขับรถของสามี และไม่ต้องคอยช่วยเหยียบเบรคเหมือนที่เคยทำมาเป็นประจำเวลาเดินทางด้วยกัน
เวลา ๑๐.๓๐ น ทีมของเราก็ไปถึงวัดสามัคคี ในตัวเมืองจังหวัดโคราช วัดนี้เป็นวัดสุดท้ายสำหรับการทำบุญในช่วงเช้านี้ เราโชคดีได้ขึ้นไปประเคนอาหารบนกุฏิท่านเจ้าอาวาส หลังจากรับพรและน้ำมนต์จากหลวงพ่อ เราก็ลาท่านและแยกย้ายกันกรวดน้ำซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการใส่บาตร ก่อนออกจากวัดหลวงพ่อเจ้าอาวาสแจกพระให้เราอีกคนละองค์ ถือเป็นสิริมงคลที่ดีค่ะ
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจในช่วงเช้า เราก็แวะทานอาหารมื้อเช้าและเที่ยงรวมกัน อาจารย์บอกให้ทานเยอะๆเพราะเราจะไม่แวะทานที่ไหนอีกจนกว่าจะเสร็จสิ้นการขอบุญในโบสถ์ ระหว่างรออาหารอาจารย์ถามดิฉันว่า “มาครั้งนี้มีความรู้สึกอย่างไร” ดิฉันตอบว่า ดิฉันรับรู้ได้ถึงความจริงใจของบุคคลที่มาด้วยกัน ดิฉันรู้สึกสบายใจ ไม่มีกังวล ซึ่งแตกต่างจากการเดินทางไปเที่ยวตามปกติซึ่งจะต้องมีเรื่องจุกจิกกวนใจอยู่ตลอด
หลังจากท้องอิ่มกันทั่วหน้าแล้ว กิจกรรมบุญช่วงบ่ายก็เริ่มขึ้น เราแวะซื้อของเพื่อจัดเป็นสังฆทานถวายพระของแต่ละบุคคลเป็นอันดับแรก ระหว่างทางอาจารย์ยังคงสอนเหมือนเดิม อาจารย์สอนว่า ต้นไม้มีตลอดทางซึ่งก็เหมือนกับธรรมะที่มีอยู่ทุกที่เช่นกัน เพียงแต่ว่าเราจะมองเห็นหรือมองไม่เห็นเท่านั้นเอง พอรถวิ่งไปบนถนนที่ขรุขระเพราะกำลังก่อสร้างอาจารย์ก็เทศน์อีกว่า ชีวิตคนเหมือนถนนมีเรียบมีขรุขระตลอดเส้นทาง พอรถผ่านผืนนาที่แห้งแล้ง ดินแห้งต้นหญ้าก็แห้งตาย อาจารย์ถามคุณฉัตรแก้วว่า “ให้อยู่ที่นี่อยู่ได้ไหม” คุณฉัตรแก้วอึกอักแล้วตอบว่า “พื้นที่ดูไม่น่าอยู่ แห้งแล้งกันดาร ถ้าจะมาอยู่ก็ต้องพัฒนาให้ดีขึ้นครับ” อาจารย์กล่าวอีกว่า ‘เหมือนจิตในตัวฉัตรแก้วนั่นแหละ’ เราไปถึงโบสถ์หลังแรกที่เป็นของดิฉันกับของพิศ แต่ปรากฏว่าโบสถ์ที่นี่ยังสร้างไม่เสร็จ อาจารย์บอกว่า “โบสถ์ป้อมยังสร้างไม่เสร็จนะ” แล้วน้าพลก็เลี้ยวรถออกจากวัดนี้ แต่ใจดิฉันยังขบคิดต่อว่า อาจารย์กำลังบอกอะไรแก่ดิฉัน ถ้าเปรียบกับคำถามของคุณฉัตรแก้วก่อนหน้านี้ อาจารย์บอกเรื่องสภาพจิตของคุณฉัตรแก้ว งั้นตรงนี้น่าจะบอกเกี่ยวกับสภาพจิตของดิฉันเช่นกัน ดิฉันเริ่มใจชื้นนิดหนึ่งว่าจิตของดิฉันชุ่มชื้นกว่าจิตของคุณฉัตรแก้ว แต่ก็ยังต้องการเวลาที่จะพัฒนาให้เป็นจิตที่ดี ที่ใสไม่ขุ่นมัว ไม่ติดยึดต่อไป

อีกไม่นานเราก็มาถึงวัดศรีสวัสดิ์ อ. ลำปลายมาศ จ. บุรีรัมย์ โบสถ์ใหญ่ สวยค่ะ น้าพลกับน้าสีดลไปติดต่อพระ ขอสวดมนต์ในโบสถ์และขอนิมนต์พระรับสังฆทาน ๒ รูป พวกเราช่วยกันจัดเตรียมกระจาดสังฆทานสำหรับพิศและดิฉัน สังฆทานที่จัดถวายเน้นน้ำปาณะพระฉันท์ได้ เช่น น้ำ นมกล่อง น้ำผลไม้ น้ำหวาน กาแฟ ฯ ดิฉันเห็นกระจาดสังฆทานแล้วรู้สึกอิ่มเอมใจพิกล มีความสุข ดูเต็มอิ่ม เรารอหลวงพ่อสักครู่แล้วท่านก็นำเราเข้าไปในโบสถ์ ในโบสถ์มีพระประธานองค์ใหญ่ พื้นปูพรม หลวงพ่อเปิดหน้าต่างออกทุกบานทำให้สว่าง ลมเย็นสบาย อาจารย์นำพาเราสวดบูชาพระด้วยดอกไม้ธูปเทียน อาราธนาพระ และขอผลบุญจากการสวดและการบวชที่มีอยู่ในโบสถ์ให้แก่ บิดามารดา ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณทั้งหลาย เจ้ากรรมนายเวรตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ และที่เป็นมนุษย์ทั้งหลาย สรรพสัตว์ทั้งหลาย จิตวิญญาณทั้งหลายในสถานที่นี้ และขอรักษากายสังขารของตัวเองด้วยกุศลผลบุญนี้ เสร็จแล้วเรา ๒ คนถวายสังฆทาน อาจารย์บอกให้ตั้งนะโม ๓ จบ เสร็จแล้วดิฉันก็คิดว่าจะพูดต่อว่าอย่างไรหนอแต่ก็พลันได้ยินเสียงปูพูดนำอยู่ข้างๆ ก็คงอาจารย์อีกนั่นแหละค่ะที่ส่งปูมาช่วยดิฉัน ดิฉันกล่าวตามน้องจนจบและเราก็ถวายสังฆทานแก่พระทั้ง ๒ รูป รูปแรกเป็นหลวงพ่อท่าทางใจดี ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ดูหายใจเหนื่อยๆ อีกองค์เป็นพระลูกวัดดูสงบเสงี่ยม เคร่งครัด หลวงพ่อให้พรพวกเราด้วยคาถาชินบัญชรและบทอื่นๆอีกแต่ดิฉันไม่รู้จักชื่อ ท่องไปก็พรมน้ำมนต์ไปด้วย กว่าจะเสร็จหลวงพ่อก็เหนื่อยหอบ อาจารย์แนะนำหลวงพ่อให้ทำบุญให้ตัวเองและให้แก่จิตวิญญาณโรคในกาย และแนะนำให้ดื่มน้ำดอกพิกุลต้มแทนน้ำเป็นเวลาหนึ่งเดือน อาการโรคเบาหวานของหลวงพ่อจะดีขึ้น ตอนแรกที่หลวงพ่อฟังคำแนะนำของอาจารย์ ดิฉันรู้สึกได้ว่า หลวงพ่อไม่ยอมรับ หลวงพ่อจะบอกพวกเราว่า “มันเป็นเวร อย่างไรเสียก็คงหนีไม่พ้น” แต่พออาจารย์พูดต่อว่า “โรคในกายเขาก็ไม่ได้อยากอยู่ เขาอยากไป เขาก็รอกุศลผลบุญจากเรา พอได้แล้วเขาก็จะไป เราก็จะหาย” อาจารย์บอกว่าไม่ได้บอกให้เชื่อแต่ให้ลองทำดู ได้ฟังอาจารย์เทศน์ดังนั้นหลวงพ่อก็เริ่มเปิดใจรับฟังคำแนะนำของอาจารย์ หลวงพ่อถามอาจารย์ว่า “รู้ได้อย่างไร” อาจารย์ตอบว่า “จิตวิญญาณโรคในกายของหลวงพ่อเขามาฟ้องว่าเขาต้องการผลบุญ” ว่าแล้วหลวงพ่อก็เริ่มถามใหม่ว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง เช่นต้องกินน้ำต้มดอกพิกุลแห้งแทนน้ำ และการทำบุญให้ตัวเองและโรคเบาหวานที่อยู่ในตัวนั้นต้องทำอย่างไร หลวงพ่อถามว่า “การทำบุญเอาของที่ญาติโยมบริจาคให้มาทำได้ไหม” อาจารย์บอกว่า “สิ่งของเหล่านั้นเป็นของญาติโยม บุญกุศลที่ได้ก็เป็นของญาติโยม” อาจารย์แนะนำให้หลวงพ่อเอาปัจจัยไปซื้อใหม่ จะเป็นนมกล่องก็ได้ นำไปใส่บาตรกับพระรูปอื่น อาจารย์ให้ปูถวายใบคำถวายข้าวใส่บาตรและคำกรวดน้ำ หนังสือสวดมนต์และหลวงพ่อที่หล่อจากเทียนที่ไปขอบุญจากโบสถ์ต่างๆให้แก่หลวงพ่อด้วย
อาจารย์หันมาคุยกับพระลูกวัดบ้างอาจารย์บอกว่า “จิตท่านยังเป็นกังวลอยู่” และแนะนำให้ใส่บาตรให้กับตัวเองและจิตวิญญาณในกายที่ยังยึดติดอยู่กับทางโลก พระลูกวัดมองหน้าอาจารย์แล้วยิ้มกว้างถามว่า “รู้ได้อย่างไร” อาจารย์ก็ตอบเหมือนเดิมว่า “จิตวิญญาณในตัวของพระเองนั่นแหละที่มาบอก” พอพระเงยหน้าขึ้นมาคุยกับอาจารย์ ดิฉันนึกถึงคำสอนของอาจารย์เรื่องบุญกิริยากับบุญบุคลิกได้ทันที เพราะแววตาของพระลูกวัดองค์นั้นยังแวววาวเหมือนตาฆราวาสหนุ่มๆนั่นเอง
เมื่อกิจกรรมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยอาจารย์ก็พาพวกเราลากลับ พอไปถึงรถอาจารย์บอกให้พิศกับปูช่วยนวดขาให้ด้วยเพราะตึงไปหมด น้องๆบอกว่าอาการนี้เป็นเพราะอาจารย์ได้แผ่บุญบารมีให้แก่โรคในกายสังขารของหลวงพ่อและนี่ก็คือการขอการแลกเปลี่ยนของจิตวิญญาณโรคในกายหลวงพ่อ ถ้าจะให้เขาออกมา เขาก็ขอมาอาศัยอยู่กับอาจารย์สักพักก่อนจึงจะไปต่อ สักพักนี่คือ ๒๔ ชั่วโมง น้องๆเล่าว่า “อาจารย์จะรับมาทุกครั้งที่แผ่บุญบารมีรักษาโรคให้คนอื่น” ดิฉันคิดเห็นใจอาจารย์ว่าทำไมต้องมารับตรงนี้ด้วย แค่ให้คำแนะนำก็น่าจะพอ ไม่ต้องถึงขนาดนี้ อาจารย์สัมผัสความรู้สึกของดิฉันได้เช่นเดิม อาจารย์บอกว่า “ฉันรับรู้แล้วว่าเขามาก็ไม่เป็นอะไร รู้สึกเฉยๆ” ดิฉันนึกถึงคำสอนของอาจารย์เรื่องจิตใส ก็คือจิตที่รับรู้แล้วไม่ติดยึด ปล่อยให้ผ่านไป
ระหว่างทางไปยังวัดที่ ๒ อาจารย์เทศน์ว่าที่ต้องบอกให้พระรู้ก็เพราะต้องการช่วยเหลือพระ พระจะได้ไปช่วยโยมต่ออีกที ดิฉันพลันนึกถึงเรื่องคุณแม่ของอาจารย์ที่ไม่อยากไปวัดกับอาจารย์ เพราะอาจารย์ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะสอนพระและคุณแม่ก็รับไม่ได้ อาจารย์พูดต่อว่า “ฉันก็อยากให้มีคนบอกฉันอย่างนี้เหมือนกันแต่ก็ไม่มี มีแต่มาถามให้ฉันช่วย” ไม่นานน้าพลก็พาเรามาถึงวัดสว่างอารมณ์ อ. เมือง จ. บุรีรัมย์ โบสถ์นี้เป็นโบสถ์ของคุณฉัตรแก้วและน้าสีดล โบสถ์ใหญ่ โบสถ์ใหม่สวยค่ะ ทุกคนทำหน้าที่เหมือนเดิมคือนิมนต์พระ และจัดเตรียมสังฆทาน พอเราเข้าไปในโบสถ์ โบสถ์เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆสร้างทับโบสถ์เดิม บนพื้นมีขี้ฝุ่นหนาเตอะ ตัวพวกเราทุกคนเต็มไปด้วยฝุ่น ดิฉันนั่งข้างหลังคุณฉัตรแก้วเห็นเท้าคุณฉัตรแก้วดำปี๊ดปี๋ เสื่อมีแค่ ๒ ผืน หน้าต่างถูกปิดอย่างแน่นหนาเสียส่วนใหญ่ ที่เปิดมีแค่ ๒-๓ บานทำให้ในโบสถ์ร้อน เราทุกคนจุดธูปเทียนบูชาพระ อาจารย์สวดนำบูชาพระ อาราธนาพระ และขอบุญเหมือนที่เคยทำ คุณฉัตรแก้วและน้าสีดลถวายสังฆทาน ตอนเดินมาที่โบสถ์คุณฉัตรแก้วแอบถามดิฉันว่าพูดอย่างไรตอนถวายสังฆทาน เขาคงคิดว่าดิฉันทำเอง ดิฉันบอก “แม่ไม่รู้หรอกแต่พอถึงเวลาเจ้าปูก็เขามานำให้ แม่ว่าถามน้องดีกว่า” หลังจากรับพรพระแล้วอาจารย์ก็พาเราลากลับ พิศขอเก็บเทียนที่เราจุดบูชาพระมาด้วย ดิฉันถามว่า “ทำไมเราไม่ขอเทียนจากวัดแรกมาด้วยล่ะ” พิศตอบว่า “หลวงพ่อไม่ให้หรอกค่ะ” แล้วทำไมวัดนี้ให้ล่ะ ‘ท่านเป็นพระรุ่นใหม่ประกอบการกับการใช้ปัญญาในการพูดการขอของเรา ท่านก็ขัดไม่ได้’ พิศเล่าให้ฟังต่อว่า “โบสถ์ของใครก็เหมือนจิตในกายสังขารของคนๆนั้น” ดิฉันนึกเปรียบเทียบโบสถ์ตัวเองกับโบสถ์คุณฉัตรแก้ว ยิ่งนึกถึงฝุ่นที่หนาเตอะที่ทุกคนลุยเข้าไป เห็นฝ่าเท้าดำปี๋ของคุณฉัตรแก้วก็นึกขำโบสถ์คุณฉัตรแก้วกับน้าสีดลเป็นกำลัง เราคุยเรื่องนี้กันต่อบนรถ คุณฉัตรแก้วกับน้าสีดลป้องกันตัวเองอย่างสุดกำลังว่า “โบสถ์ของเขานั้นเป็นโบสถ์เก่าแก่ของที่นี้เชียวนะ”
เราแวะซื้อของทำสังฆทานเพิ่มในตัวเมืองบุรีรัมย์ ระหว่างการเดินทางไปวัดที่ ๓ เราผ่านตลาด อาจารย์บอกให้น้าพลจอดแวะซื้อดอกกุหลาบ อาจารย์ไม่อธิบายอะไรบอกให้พวกเราให้คอยดู วัดที่ ๓ ชื่อวัดอิสาณ โบสถ์นี้เป็นของน้าตู่กับปู โบสถ์นี้เป็นโบสถ์ใหญ่ โบสถ์ใหม่สวยค่ะ ข้างในเป็นระเบียบเรียบร้อย ของอยู่เป็นที่เป็นทาง สะอาดสะอ้าน เพราะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี พวกเราได้เช็ดฝุ่นที่ติดตัวมาจากโบสถ์ของน้าสีดลและคุณฉัตรแก้วที่นี่ เพราะที่นี่ปูพรมสะอาดทั้งห้อง พลันดิฉันนึกถึงจิตของเจ้าของโบสถ์ทั้งสองคนว่า เขาเป็นจิตที่ได้รับการฝึกฝนแล้ว จิตจึงใสโล่ง และไม่หมองมัว อาจารย์พาเราทำเหมือนเดิม แต่โบสถ์หลังนี่ไม่อนุญาตให้เราจุดธูปเทียน อาจารย์ชี้ให้เราดูว่าโบสถ์นี้ถวายดอกกุหลาบบูชาพระ อาจารย์สัมผัสได้จึงให้จอดแวะซื้อดอกกุหลาบมาด้วย หลังจากพระให้พร พรมน้ำมนต์เสร็จแล้วอาจารย์ก็พาเราลากลับ
เราเดินทางต่อไปยังวัดที่ ๔ ซึ่งเป็นวัดสุดท้ายสำหรับวันนี้ ฝนเริ่มลงเม็ด และเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆตอนที่เราไปจอดอยู่ที่หน้าโบสถ์ของวัดที่ ๔ อาจารย์พาเราแผ่บุญบารมีให้แก่จิตวิญญาณทั้งหลาย สรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้ ฝน เมฆ พระอาทิตย์ ณ สถานที่นั้น หลายรอบแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าฝนจะหยุด อาจารย์บอกว่า “เขาไม่เปิดโบสถ์ให้ เราก็ต้องไปต่อ” ขณะขับรถกำลังจะออกจากบริเวณวัด เราผ่านสระน้ำใหญ่ อาจารย์พาเราแผ่บุญบารมีให้แก่จิตวิญญาณในท้องน้ำอีกด้วย ออกจากวัดแล้วน้าพลขับรถพาเรามาเรื่อยๆ อาจารย์ก็พาเราแผ่บุญบารมีให้แก่จิตวิญญาณ สรรพสัตว์ ธรรมชาติ เจ้าป่าเจ้าเขา มาตลอดทาง พอเราออกพ้นบุรีรัมย์มุ่งหน้าไปทางมหาสารคาม ฝนไม่มีเลยด้านนี้ น้าพลพาเราไปถึงพยัฆคภูมิพิสัยแล้วขับอ้อมมาอีกด้านหนึ่งของบุรีรัมย์ ตอนนี้มืดแล้วเรายังหาโบสถ์สุดท้ายไม่ได้ ขณะนั่งมาในรถอาจารย์ถามว่า “ใครเป็นอย่างไรบ้าง” ดิฉันบอกว่า “หนักหัวหนักเปลือกตา” คุณฉัตรแก้วบอก “คอเคล็ด” อาจารย์บอกว่า “นี่เป็นอาการที่รับบุญมากเกินไป” บุญบารมีจากการสวดปาติโมกข์และการบวชมีมากมายในโบสถ์ มีมานานตั้งแต่สร้างโบสถ์ ไม่มีใครเคยขอบุญบารมีเหล่านี้เลย และที่พวกเราได้มาก็ได้มาแค่ตัวเราจะรับไหวเท่านั้นเอง อาจารย์จึงพาเราแผ่บุญบารมีที่ได้ออกให้แก่จิตวิญญาณทั้งหลาย สรรพสัตว์ทั้งหลาย ธรรมชาติทั้งหลาย ทำดังนั้นแล้วคุณฉัตรแก้วก็หายปวดคอ ดิฉันก็หายจากอาการหนักหัวหนักเปลือกตา อาจารย์บอกว่า “เป็นอะไรให้บอกเพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกของเราสองคน” น้องๆบอกว่า “ลืมบอกพวกเราว่าเป็นอะไรให้บอก” ระหว่างทางอาจารย์ก็พาเราแผ่บุญบารมีไปเรื่อยๆ
น้าพลยังคงขับรถมุ่งหน้าไปตามที่อาจารย์บอก เราวิ่งไปตามถนนดินลูกรัง ทันใดนั้นอาจารย์ก็เหลือบเห็นช้างและถามว่าเราเห็นไหม แต่ไม่มีใครเห็น อาจารย์ให้น้าพลถอยหลังไปอีกสักหน่อย แล้วเราก็เห็นช้างจริงๆ ตอนแรกเขายืนหันหลังให้เรา แต่พออาจารย์พาพวกเราแผ่บุญบารมีให้ เขาก็หันมาทำท่ายกงวง ยกขา ย่อขา เหมือนทำท่าเต้นหรืออะไรสักย่าง ดูเขามีความสุขและยิ้มให้เรา อาจารย์บอกกับเจ้าช้างน้อยนั้นว่า “ฝากบุญบารมีไปให้เพื่อนๆด้วย” เสร็จแล้วก็บอกให้น้าพลออกรถ เราเดินทางไปเรื่อยๆ ในที่สุดเราก็มาถึงวัดสุดท้ายเวลาตอนนั้นราวหนึ่งทุ่ม โบสถ์นี้เป็นโบสถ์ของพวกเราทุกคน วัดนี้เพิ่งเสร็จจากงานวัดประจำปี โบสถ์ใหญ่ สวยงาม ที่ติดใจดิฉันก็คือหลวงพ่อพระประธานหลวงพ่อใหญ่ ท่านน่าจะเป็นพระเก่าแก่ที่สุดในบรรดาทุกโบสถ์ที่เราเข้าไปขอบุญ อาจารย์พาเราขอบุญบารมีเหมือนทุกครั้ง เรารับพรพระ น้ำมนต์ คุยกับพระนิดหน่อยก็ขอลากลับเพราะดึกแล้วสำหรับกิจของสงฆ์ ในความคิดของดิฉันโบสถ์รวมของเราถึงจะสวยแต่ไม่สงบ เพราะมีกิจกรรมทางโลกรวมอยู่ในโบสถ์ เช่น ตู้อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ดูโชคชะตาตามราศีเกิด ถ้าถามความรู้สึกส่วนตัวว่าชอบโบสถ์ไหนดิฉันก็ชอบโบสถ์ของดิฉันเอง เพราะถ้าปัดกวาดเช็ดถู จัดสิ่งของให้เข้าที่เข้าทางแล้ว ก็น่าจะเป็นโบสถ์ที่ให้ความสงบ ร่มเย็นแก่ญาติโยมทั้งหลายได้ดี
หลังจากหมดภาระหน้าที่ทั้งหมดเรื่องการขอบุญแล้ว ดิฉันถามคุณฉัตรแก้วว่ารู้สึกอย่างไร ส่วนดิฉันรู้สึกว่าเบาสบาย คุณฉัตรแก้วก็รู้สึกเช่นเดียวกัน เราเริ่มเดินทางกลับตอนนั้นเป็นเวลาประมาณสองทุ่ม ก่อนแวะกินอาหารอาจารย์ถามเราว่า “ไหนบอกให้ฟังซิว่าได้อะไรบ้างวันนี้” พออาจารย์ไล่คำตอบครบแล้วก็ถามดิฉันต่อว่า “ที่ทำเนี่ยงมงายไหม” ดิฉันตอบว่า “ตอนแรกก็คิดว่าไม่ แต่พอได้ฟังคำถามของอาจารย์ดิฉันก็เริ่มคิดหาเหตุผลมาประกอบความคิด” อาจารย์ถามต่อว่า “ทำแล้วเหนื่อยไหม” ดิฉันตอบว่า “ถ้าเราถือว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำก็ไม่น่าจะเหนื่อย เหมือนดิฉันสอนลูกศิษย์ก็ไม่คิดเหนื่อยเหมือนกัน” อาจารย์ถามว่า “ถ้าให้ทำอย่างนี้ทุกอาทิตย์ได้ไหม” ดิฉันก็ตอบตามสภาพของดิฉันว่า “ถ้าเดือนละครั้งดิฉันทำได้แต่ทุกอาทิตย์ดิฉันคงไม่ไหวเพราะยังมีภาระทั้งเรื่องงานและลูกที่ต้องห่วงค่ะ” อาจารย์ถามต่อว่า “แล้วทำไมเราต้องทำ” คุณฉัตรแก้วตอบว่า “เพราะอาจารย์มีเมตตา ต้องการที่ช่วยเหลือคนที่เจ็บไข้ได้ป่วย จิตวิญญาณและสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ตกทุกข์ได้ยาก”
เราแวะกินอาหารเย็นก่อนเข้าโคราช ดิฉันได้คุยกับอาจารย์ต่อว่า “รับทราบว่าอาจารย์เหนื่อยกับการที่ต้องช่วยพวกเรา” อาจารย์บอกว่า “อาจารย์จะไม่เหนื่อยถ้าสิ่งที่ทำไปให้ผลชื่นใจ เห็นเขาหาย เขามีชีวิตที่ดีขึ้นอาจารย์ก็ชื่นใจแล้ว เหมือนปลูกต้นไม้ถ้าได้เห็นดอกเห็นผลก็หายเหนื่อย” ดิฉันคิดอยู่ในใจว่าดิฉันจะไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวังค่ะ การเดินทางกลับของเราเริ่มตอน ๔ ทุ่ม เรากะว่ากว่าจะถึงบ้านคงใช้เวลาประมาณ ๕-๖ ชั่วโมง น้าพลบอกว่าไม่ถึงหรอกเพราะเขาจะเปิดเส้นทางลัดให้เราวิ่ง พอขึ้นรถอาจารย์ถามรายตัวว่าใครมีปัญหาอะไรจะถามอีกไหม ดิฉันตอบว่าไม่มีค่ะ อาจารย์ตอบว่างั้นก็หลับซะ อาจารย์ทำเช่นนี้กับทุกคน หลังจากอาจารย์บอกดิฉันก็แทบจะหลับในทันที ถึงหูจะยังได้ยินสมาชิกในรถคุยกันแต่ดิฉันก็ง่วงจนทำอะไรไม่ไหวแล้ว
เวลาราวตี ๑ ดิฉันรู้สึกตัวตื่น พบว่ารถเข้ามาหลงทางอยู่ในที่แห่งหนึ่ง ลักษณะเป็นห้องแถวไม้เก่าๆ ดิฉันได้ยินเสียงน้องคนหนึ่งบอกน้าพลว่าให้เลี้ยวกลับ น้าพลก็ทำตามนั้น ดิฉันรู้สึกได้แค่นั้นแล้วก็หลับต่อ แต่อีกใจหนึ่งก็นึกว่านี่ละมังคือเส้นทางลัดที่เขาเปิดให้ ดิฉันมารู้สึกตัวอีกครั้งก่อนถึงทางแยกเข้าถนนรังสิต-นครนายก ประมาณคลอง ๙ เพราะได้ยินเสียงน้องๆเรียกน้าตู่ว่าถึงบ้านแล้ว หลังจากร่ำลาอาจารย์และทุกๆคนแล้ว เราต่างก็แยกย้ายกลับบ้าน เราถึงบ้านราวตี ๒
การทำบุญ การขอบุญ การถ่ายเทบุญครั้งแรกในชีวิตเสร็จสิ้นลงแล้ว เราสองคนมีความสุขอยู่ในใจลึกๆ เราได้ศึกษาเรื่องการทำบุญ การขอบุญ การถ่ายบุญ และการขอเทียนที่จุดบูชาพระในโบสถ์เพื่อมาหล่อเป็นองค์พระ แต่ดิฉันก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าที่ทำไปนั้นเป็นจริงอย่างไร มีเพียงสิ่งเดียวที่ดิฉันรับรู้ได้ในขณะนั้นคือดิฉันมีความสุขที่ได้ทำสิ่งดีๆให้กับตัวเอง ได้ช่วยเหลือจิตวิญญาณที่ต้องการความช่วยเหลือ และที่สำคัญที่สุดเรามีบุญบารมีมากพอที่จะแบ่งให้กับจิตวิญญาณของลูกที่ล่วงลับไปแล้ว ดิฉันภาวนาขอให้สิ่งที่ทำในวันนี้ทุกอย่างเป็นความจริงทั้งหมดถึงแม้ว่าดิฉันจะสัมผัสไม่ได้ก็ตาม ดิฉันต้องการให้พี่เฟิสท์ ของดิฉันได้รับผลบุญ ได้มีความสุข ได้ผุดได้เกิดในชาติภพภูมิที่ดีต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น