ตัวตนของมนุษย์เรานี้ประกอบด้วย ๒ ส่วนสำคัญคือ ร่างกายและจิตวิญญาณ เมื่อร่างกายดับสูญถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน มิได้หมายความว่าจิตวิญญาณจะมอดไหม้ไปด้วยกัน ใครทำกรรมดีจิตวิญญาณก็จะไปตามกรรมดี ใครทำไม่ดีจิตก็จะไปตามนั้นเช่นกัน
ดิฉันเป็นชาวพุทธรุ่นใหม่ เชื่อในเหตุและผล คือทำดีต้องได้ดี ทำไม่ดีต้องได้ไม่ดี ไม่ช้าก็เร็ว ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า หรืออย่างน้อยก็รู้สึกได้ด้วยใจของผู้กระทำเอง ในขณะที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่ตามปกติ ถึงแม้ว่าดิฉันจะเป็นคนที่ใครๆบอกว่าเข้มแข็งแต่ดิฉันก็กลัวที่จะได้พบจิตวิญญาณหรือสิ่งเร้นลับที่พิสูจน์ไม่ได้ ดิฉันรู้สึกหวาดๆตอนที่จะต้องไปเก็บกระดูกลูกที่วัด ตอนที่ใครต่อใครเล่าว่าได้พบกับสิ่งลี้ลับจากจิตวิญญาณของลูก ใครต่อใครในที่นี้รวมถึงคุณฉัตรแก้วคนข้างตัวดิฉันด้วย
หลังจากงานเผาสังขารลูก คุณฉัตรแก้วยังฝันและพบสิ่งแปลกๆเกี่ยวกับลูก เหมือนกับว่าลูกยังต้องการสื่ออะไรสักอย่างให้เรารู้ ส่วนตัวดิฉันเองก็ย่ำแย่จิตใจซึมเศร้า หมกมุ่น หลังจากงานลูกดิฉันใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลให้ลูก ส่วนมนต์เช้าเย็นให้ลูกทุกๆวันต่อเนื่อง ๙ วัน ในช่วงเวลานี้ดิฉันก็เริ่มสงสัยว่าการสวดมนต์ที่ดิฉันทำทุกวันนี้ถูกต้องไหม แล้วลูกจะได้รับอานิสงส์เหล่านี้หรือเปล่า ดิฉันเสาะหาความรู้จากการสอบถามพระสงฆ์ คราวาท รวมถึงตั้งจิตอธิษฐานขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยชี้แนะให้ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่จิตใจของดิฉันก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้น ตรงกันข้ามกลับซึมเศร้าและเฝ้าแต่ตำหนิตัวเองว่าทำไมไม่ดูแลลูกให้ดี ทำไมไม่พาลูกไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ ทั้งๆที่สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ครอบครัวเราให้ความสำคัญอยู่ตลอดมา
ในวันศุกร์ที่ ๒๘ มกราคม เรื่องก็เกิดขึ้น หลังจากสวดมนต์ตอนเช้า ดิฉันเข้าไปนอนและเผลอหลับบนเตียงลูก ตื่นขึ้นมาเริ่มคิดฟุ้งซ่านถึงลูกอีก ครั้งนี้คิดมากจนปวดหัว ดิฉันร้องไห้ออกมาดังๆ ความรู้สึกตอนนั้นแย่จริงๆคิดถึงลูกเหมือนใจจะขาด อยากจะไปอยู่กับลูก ไม่รู้จะทำอย่างไรดีจึงโทรไปหาคุณฉัตรแก้วที่ทำงาน บอกว่าคิดถึงลูก ปวดหัว พูดไปก็ร้องไห้ไป คุณฉัตรแก้วรีบกลับบ้านมาอยู่เป็นเพื่อน แล้วเราก็ชวนกันไปหาพี่ม่วยเพื่อขอคำปรึกษา พี่ม่วยพูดปลอบใจดิฉัน บอกให้ตั้งสติ ให้เข้มแข็ง เพราะดิฉันยังมีคนที่ต้องเป็นห่วงอีกถึงสองคน คือคุณฉัตรแก้ว และน้องฟอร์ท ถ้าดิฉันเป็นอะไรไปอีก คนสองคนนี้จะอยู่อย่างไร คุณฉัตรแก้วเล่าเรื่องเร้นลับเกี่ยวกับลูกที่ได้สัมผัสรวมถึงได้เล่าความฝันที่เกิดขึ้นหลายๆครั้งและความรู้สึกว่าลูกต้องการจะบอกอะไรให้รู้ พี่ม่วยบอกว่า “ไม่เป็นไรถ้าเขาต้องการจะบอกเขาจะหาหนทางบอกเราจนได้”
แล้ววันนั้นก็มาถึงคุณฉัตรแก้วนัดเพื่อนที่พอรู้เรื่องด้านจิตวิญญาณพบตอน ๕ โมงเย็นที่บ้านเพื่อนคนนั้น ดิฉันก็ไปกับเขาทั้งๆที่ใจหนึ่งก็หวาดๆ แต่ก็อยากรู้เหมือนกัน ตอนแรกเรานัดจะไปทำพิธีที่บ้านพี่ม่วยที่คลอง ๑๔ เพราะต้องการให้พี่ม่วยช่วยด้วย แต่เย็นนั้นดูเหมือนจะไม่ได้เรื่องเพราะเย็นมากแล้วและเพื่อนก็ยังทำงานไม่เสร็จ เพื่อนคนนั้นโทรมาบอกว่าต้องเลื่อนวันเพราะพี่ม่วยบอกว่ามืดแล้ว จึงเปลี่ยนชวนไปกินข้าวเย็นด้วยกันแถวองครักษ์ อีกประมาณ ๓๐ นาทีเพื่อนคนเดิมก็โทรหาคุณฉัตรแก้วอีกนัดให้ไปพบที่ร้าน 7 Eleven ที่คลอง ๑๐ (ย้ำว่าแฟนเขารู้จักดี) อาจารย์มีอะไรจะแนะนำและยังบอกอีกว่าถ้าได้คุยกับอาจารย์แล้วจะสบายใจ เรา ๓ คน (แฟนของเขาด้วย) ขับรถไปที่นัดแต่ไม่พบเขา เห็นร้านข้าวต้มข้าง 7 Eleven เราจึงไปนั่งรอที่โต๊ะ ในใจคิดว่าเขาคงเปลี่ยนใจนัดเรามาทานข้าวที่นี่ นั่งรอสักพักคุณฉัตรแก้วจึงถามแฟนเขาว่า ‘อ้าว แฟนอยู่ที่ไหน’ เพื่อนจึงโทรหาแฟนอีกครั้งคราวนี้เขาบอกให้เราทั้งหมดไปพบเขาที่ร้านขายเครื่องจักสานแห่งหนึ่งในตลาดใกล้ๆ
ที่ร้านดังกล่าวพวกเรา ๓ คน ได้รับเชิญเขาไปด้านหลังของร้าน ซึ่งเป็นห้องพระมีพระพุทธรูปที่หล่อจากเทียนองค์โต ๓ องค์ (ถ้าจำไม่ผิด) เป็นห้องไม่ใหญ่แต่สงบ มีกลิ่นดอกไม้หอมๆ พวกเรายกมือไหว้เจ้าของร้านซึ่งต่อมาพวกเราก็ทราบว่าท่านเป็นอาจารย์และเราก็ยอมรับท่านเป็นอาจารย์ เป็นที่พึ่งให้เราด้วยความเต็มใจ อาจารย์ให้คุณฉัตรแก้วจุดธูปเทียน ไหว้พระ เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ถามคุณฉัตรแก้วว่าอยากรู้อะไรให้ถาม คุณฉัตรแก้วบอกว่าอยากถามเรื่องลูกเพราะเหมือนเขาพยายามจะสื่ออะไรให้ทราบ ดูเหมือนครั้งแรกท่านไม่ได้ตอบแต่ให้เราถามเอาเอง เราก็งงว่าจะถามใคร ขณะเดียวกันนั้นเองเพื่อนคนที่นำเรามาที่นี่ก็เริ่มมีอาการแปลกๆ ดูหงุดหงิด เริ่มนั่งก้มหน้า น้ำตาเริ่มไหล อาจารย์บอกเขาว่าให้ทำจิตให้ว่าง ปล่อยเขา แป๊บเดียวเพื่อนคนนั้นก็เริ่มร้องไห้ สะอึกสะอื้น ท่าที่นั่งก็กระแทกกระทั้นเหมือนเจ็บหรือโกรธ (ดิฉันก็ไม่แน่ใจ) มือคลำท้ายทอยตัวเองเอาไว้ ท่านบอกว่าจิตวิญญาณนี้เป็นจิตวิญญาณที่หิวโหยเพราะไม่เคยทำบุญ อาจารย์บอกให้พวกเราถามเขา ตอนนั้นเราก็ไม่แน่ใจว่าถามใคร เขาคนนี้เป็นใคร ก็หันไปถามอาจารย์ว่าลูกชายหรือคะ ท่านก็พยักหน้า คุณฉัตรแก้วถามว่า “เฟิสท์ หรือลูก” ครั้งแรกเขาไม่ได้ตอบแต่พอคุณฉัตรแก้วถามอีกที คราวนี้เขาพยักหน้า ยังคงนั่งก้มหน้าน้ำตาไหล คุณฉัตรแก้วถามต่อว่า “เป็นอย่างไรบ้าง” เขาบอกว่า “มันมืดมองไม่เห็น” แล้วก็พูดว่า “เจ็บ แม่ครับ เฟิสท์ เจ็บ” มือของเขากุมอยู่ที่ท้ายทอย ดิฉันเริ่มได้สติเริ่มพิจารณาท่าทาง และยิ่งเห็นมือที่กุมอยู่ที่ท้ายทอยก็มั่นใจว่าต้องเป็นพี่ First เพราะลูกเสียชีวิตเพราะศีรษะได้รับความกระทบกระเทือนอย่างแรง ฐานกะโหลกแตก ลูกเริ่มกระสับกระส่ายมากขึ้นเพราะความเจ็บปวด ดิฉันถามอาจารย์ว่า “กอดเขาได้ไหม” ท่านพยักหน้า ดิฉันกอดเขาไว้และปลอบเขา แต่เขายังคงกระสับกระส่ายอยู่ในอ้อมกอดของดิฉันและบ่นว่าเจ็บ ดิฉันสงสารลูกกอดลูกไว้บอกให้ลูกทำสมาธิ ทำใจให้สงบ ให้คิดถึงคุณพระคุณเจ้า แต่เขาก็ไม่ดีขึ้นเลย ยังคงกระสับกระส่ายด้วยความเจ็บอยู่อย่างนั้น และพูดว่า “แม่ครับ เฟิสท์ เจ็บ แม่ครับ เฟิสท์ เจ็บ” ดิฉันจึงหันไปหาอาจารย์ขอความช่วยเหลือถามว่า “จะช่วยอย่างไรดีละคะ” ท่านบอกให้พวกเราพนมมือและสวดตามท่าน พอพวกเราสวดจบท่านก็สวดต่อ ลูกในร่างของเพื่อนก็เริ่มหยุดอาการกระสับกระส่ายและค่อยๆล้มตัวลงมาบนตักดิฉันซึ่งนั่งอยู่ด้านหลัง ดิฉันไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในขณะที่ค่อยๆล้มตัวลงบนตัก แต่คุณฉัตรแก้วเล่าให้ฟังทีหลังว่า “ลูกยิ้มเหมือนยามที่เขายิ้มตอนมีความสุข ยิ้มไปยิ้มมาเหมือนตอนที่เขาได้ของจากพ่อและมีความสุข ไม่มีความเจ็บปวดใดหลงเหลืออยู่อีกเลย” ขณะที่เล่าคุณฉัตรแก้วก็ทำท่าทางประกอบไปด้วย ดิฉันนึกเห็นภาพที่คุ้นเคยนี้ได้เป็นอย่างดี ดิฉันรู้สึกเวทนาสงสารลูกจับใจ ความรู้สึกหวาดหวาดที่เคยมีเปลี่ยนเป็นสงสาร และต้องการช่วยเหลือลูกให้พ้นจากความทุกข์ทรมานตรงนี้ให้ได้
พวกเราคุยกับอาจารย์ต่อถึงวิธีช่วยจิตวิญญาณของลูก อาจารย์บอกว่า “เขาหิวโหยต้องให้อาหารก่อน พอเขาแข็งแรงแล้วเขาจึงจะมีพลัง” ท่านแนะนำให้ใส่บาตร ๔ ชุด กับพระ ๔ รูป ต่อเนื่อง ๗ วันเพื่อเป็นอาหารทิพย์ให้แก่จิตวิญญาณของลูก และให้สวดยอดพระกัณฐ์ไตรปิฎกให้ ๑ วัน ท่านบอกว่า “จิตวิญญาณเขายังอยู่กับพ่อและแม่” ดิฉันเลิกหวาดกลัวลูก สงสารลูกจับใจ ดิฉันต้องเข้มแข็งและนำพาจิตวิญญาณของลูกให้เข้มแข็งด้วย ดิฉันบ่นพึมพำกับตัวเองว่า ดิฉันได้กอดลูกจริงๆหลังจากที่อยากเหลือเกิน หลังจากที่ลาอาจารย์และเดินออกมายืนคุยกันที่หน้าร้าน ผู้หญิงคนหนึ่งที่มาสวดมนต์ที่นี่เดินออกมาบอกเราว่า “พี่คะ พี่พาใครมาพี่พาเขากลับไปด้วย หนูรู้สึกได้ ว่าเขายังอยู่ข้างใน” ดิฉันก็เอ่ยขึ้นว่า “มาพี่ เฟิสท์ มา กลับบ้านกันเถอะลูก”
หลังจากนั้นเราพากันไปทานข้าวและคุยกันต่อถึงเรื่องที่ได้เกิดขึ้น อย่างที่บอกนะคะพวกเราไม่เคยสัมผัสเรื่องเร้นลับด้วยตัวเองเช่นนี้มาก่อนเลย และไม่เคยคิดว่าจะได้พบ เราเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทบทวนไปมาว่าเราได้เห็น ได้ยิน ได้ทำ ในสิ่งที่เหมือนกันใช่หรือไม่ คำตอบก็คือ “ใช่” สิ่งที่น่าแปลกอีกอย่างก็คือเพื่อนคนที่จิตวิญญาณลูกมาเข้าร่างยืนยันว่า “ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าได้เลี้ยวรถเข้ามาติดต่ออาจารย์ที่ร้านและไม่ได้โทรศัพท์นัดเรามาที่นี่ เพราะจำได้ว่าอาจารย์บอกว่าไม่ต้องโทรเดี๋ยวเขาก็มากันเอง” แต่พอเช็คบันทึกการใช้โทรศัพท์ก็มีการโทรออกจากเครื่องเขาเข้ามาที่เครื่องคุณฉัตรแก้วจริงในช่วงเวลาดังกล่าว
ตอนนี้เราสองคนพ่อแม่ผนึกกำลังกันอย่างเต็มที่เพื่อลูกที่เป็นดวงใจของเราอีกครั้ง เราสองคนช่วยเขาตามคำแนะนำของท่านอาจารย์ เราไปใส่บาตรให้เขาที่วัดแต่เช้า ก่อนใส่เราสวดคำถวายข้าวพระ หลังจากใส่บาตรเสร็จเราก็จะร่วมใจกันท่องบทกรวดน้ำที่ได้มาอย่างเคร่งครัด วันแรกค่อนข้างขรุขระ เราขอกรวดน้ำถึง ๒ รอบ เพราะครั้งแรกขวดน้ำที่เตรียมมาใหญ่เกินกว่าถาดรองน้ำที่ขอยืมมาจากพระ (ก็บทกรวดน้ำยาวดิฉันก็เลยเตรียมน้ำขวดลิตรมา) ทำให้น้ำล้นออกจากถาดโดยไม่รู้ตัว เพราะต่างคนต่างก็พากันตั้งใจท่องบทกรวดน้ำเพราะกลัวอ่านผิด
พอรับรู้ว่าจิตวิญญาณลูกอยู่กับเรา ดิฉันก็เริ่มพูดคุยกับเขาเหมือนที่เขายังมีชีวิตอยู่ ดิฉันนั่งมองรูปเขาสอนเขาให้อดทน ให้สวดมนต์พร้อมๆไปกับดิฉันทุกครั้ง และก่อนสวดมนต์ทุกครั้งดิฉันจะระลึกถึงอาจารย์ท่านนั้นก่อน ขอให้ท่านแบ่งผลานิสงส์ของท่านช่วยนำทางให้เราแม่ลูกสวดมนต์และทำในสิ่งที่ดีที่ถูกต้อง ดิฉันไม่เคยสัมผัสกับลูกอย่างที่คุณฉัตรแก้วสัมผัส อาจเป็นเพราะคุณฉัตรแก้วบอกลูกเอาไว้ว่า “อย่าทำกับแม่เขาอย่างนี้ แม่เขากลัว แต่ทำกับพ่อได้” ดิฉันสัมผัสกับเขาจากการนึกเห็นภาพของเขาจากรูปที่ถ่ายเอาไว้และสร้างภาพจากเรื่องที่ลูกเคยเล่าให้ฟัง เริ่มต้นจากการนึกถึงคำถามของเขา ตอนเขาอยู่มัธยมปลาย วันหนึ่งขณะที่เราสองคนนั่งคุยกันตามปกติ พี่ เฟิสท์ ก็ถามดิฉันขึ้นมาว่า “แม่รู้ไหม เฟิสท์ น้อยใจแม่มากที่สุดตอนไหน” ดิฉันฟังแล้วก็ใจหายวาบแต่ก็แข็งใจถามลูกว่า “ตอนไหนละลูก” เขาเล่าย้อนให้ดิฉันฟังว่า ตอนที่พวกเราอพยพเขามาอยู่ที่กรุงเทพเพราะดิฉันลาศึกษาต่อปริญญาโท ลูก ๒ คนอยู่กับคุณตาคุณยายที่บ้านสีวลี ตลาดสี่มุมเมือง (ตอนนั้นพี่เฟิสท์ อายุราวๆ ๖ ขวบ น้อง ฟอร์ท ก็ประมาณ ๓ ขวบ) ส่วนดิฉันเช่าหอพักใกล้สถาบัน วันหยุดเสาร์ อาทิตย์ เราจะมารวมกัน ๔ คน พ่อ แม่ ลูก ที่บ้านคุณตาคุณยาย ถ้าวันศุกร์ไหนดิฉันโทรมาบอกว่า อาทิตย์นี้แม่กลับบ้านไม่ได้นะครับเพราะต้องรีบทำการบ้านส่งคุณครู พี่เฟิสท์ บอกว่าเขาจะเสียใจมากและจะแอบไปนั่งร้องไห้ในห้องคนเดียว เขาเล่าต่ออีกว่า แต่พอแม่โทรมาอีกบอกว่าแม่จะรีบทำการบ้านให้เสร็จแล้วจะมาหาพวกเขาตอนเย็นวันเสาร์นะ เขาก็จะดีใจ ขอย้อนกลับมาเล่าถึงวิธีที่ดิฉันสัมผัสกับลูกซึ่งไม่เหมือนใคร ช่วงที่ดิฉันเศร้าสร้อยก่อนพบอาจารย์ดิฉันนึกถึงลูกครั้งใดก็จะเห็นเป็นภาพลูกตอนที่อยู่บ้านคุณตาคุณยายและแอบไปร้องไห้อยู่ในห้องคนเดียวเพราะดิฉันโทรมาบอกว่าจะไม่กลับบ้าน หลังจากใส่บาตรและสวดมนต์ให้ในวันแรก ภาพที่นึกเห็นลูกจะเป็นภาพที่เราถ่ายตอนวันเกิดน้องฟอร์ท ในภาพคุณฉัตรแก้วนั่งอุ้มน้องฟอร์ท ที่กำลังนอนหลับไว้บนตัก ส่วนพี่เฟิสท์ นั่งขัดสมาธิยิ้มแฉ่งอยู่ข้างๆ ดิฉันพยายามมองหาภาพเด็กขี้แงคนนั้นอีกก็ไม่เห็น บางทีก็ดูเหมือนจะเห็นแต่หน้าตาก็ไม่ใช่เด็กกำลังร้องไห้อย่างเสียอกเสียใจ แต่กลับกลายเป็นอมยิ้มทำหน้าทะเล้นให้เสียอีก วันที่สองของการใส่บาตรดิฉันนึกถึงภาพเขาที่ออกท่าทางเป็นตัวการ์ตูนตัวสุดโปรดตัวใดตัวหนึ่ง แล้วทำหน้าทะเล้นให้กับกล้อง ความรู้สึกของดิฉันเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ อบอุ่น และรับรู้ว่าลูกน่าจะกำลังแข็งแรงขึ้น แต่ดิฉันก็ยังไม่แน่ใจเสียทีเดียว ดิฉันคงนึกถึงอาจารย์และขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชี้ทางที่ควรที่ถูกให้อยู่ตลอดเวลา วันนี้พี่เปี๊ยกโทรมาคุยเล่าให้ฟังว่า “นั่งสมาธิเห็นพี่เฟิสท์ ชัดเลย ใส่เสื้อขาว กางเกงดำ เหมือนคุณฉัตรแก้วจัง แต่ผมยาวไปหน่อย” พี่เปี๊ยกเล่าต่อว่า “เห็นพี่เฟิสท์ ยืนอยู่และบอกว่ากำลังจะหาเพื่อนสักคน” พอดีมีรถคันหนึ่งวิ่งมา พี่เปี๊ยกเห็นทะเบียนรถลงท้ายด้วยเลข ๙ และบอกว่า “หวยออก ๒๙ แต่ป้าเปี๊ยกไม่ถูก” พี่เปี๊ยกเตือนเรื่องให้ไปเผาส่งวิญญาณพี่เฟิสท์ ณ ที่เกิดเหตุอีกครั้ง ดิฉันลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท พอได้ฟังเรื่องที่พี่เปี๊ยกเล่าดิฉันนึกถึงเรื่องตัวตายตัวแทนที่เคยได้ยินมา ดิฉันบอกลูกว่า “อย่าต่อกรรมอีกเลย กรรมที่เรากำลังรับอยู่นี่ก็มากเกินพอแล้ว ความเจ็บปวดโศกเศร้าจากการพลัดพรากจากคนที่รักเป็นวิบากกรรมที่หนักหนาสาหัสจริงๆ เรามาสวดมนต์สร้างกุศลบารมีใหม่ดีกว่า คิดว่าน่าจะดีกว่าการกลับไปเกิดใหม่โดยหาตัวแทนมาเปลี่ยนนะลูก”
วันที่สามของการทำบุญหลังจากกลับจากวัด ดิฉันเริ่มฮัมเพลงขณะขับรถกลับบ้าน พอถอยรถเข้าบ้านเสร็จเปิดประตูรถออกมาก็ยังฮัมเพลงต่อ ดิฉันเห็นคุณฉัตรแก้วที่ยืนอยู่ใกล้ๆ(หลังจากที่ช่วยดูแลโบกรถให้ถอยเข้าบ้าน เพราะกลัวดิฉันจะถอยไปเกี่ยวมอเตอร์ไซด์ที่จอดอยู่อีกคัน) ทำหน้าแปลกๆ ก็ไม่รู้ละก็มันครึ้มอกครึ้มใจอย่างไงก็ไม่รู้ พอถึงบ้านดิฉันก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าไปออกกำลังกาย ตอนแรกๆก็ไม่รู้สึกอะไร แต่หลังๆมารู้สึกว่าทำไมแรงเราถึงดีจริงวันนี้ รู้สึกตัวเบากระปรี้กระเปร่าผิดปกติ ทั้งๆที่ไม่ได้ออกกำลังกายมามากกว่า ๒ อาทิตย์ และท่าวิ่งบางท่าดิฉันไม่เคยทำได้ขนาดนี้เลยเนื่องด้วยวัยอันใกล้ ๕๐ นึกขึ้นมาได้เลยพูดลอยๆขึ้นว่า “เฮ้ย เบาๆหน่อยฉันแก่แล้วนะ” วันนั้นทั้งวันฉันนึกเห็นลูกในวัยปัจจุบัน เห็นเหมือนตอนเขากลับมาเยี่ยมช่วงเสาร์อาทิตย์ ดิฉันเดินไปทางไหนเขาก็จะเดินตามมาเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟังไม่ได้หยุดปาก
เย็นนี้เรามีนัดกินข้าวกับญาติๆ หลังจาก เรา ๓ พ่อ แม่ ลูก สวดมนต์แล้ว เราก็ไปยังจุดนัดพบ (ดิฉันไม่ลืมชวนลูกอยู่แล้ว) ทานอาหารไปได้พักใหญ่น้องสาว (ลูกน้าของดิฉัน) มาชวนไปห้องน้ำ ขณะที่อยู่ในห้องน้ำดิฉันได้กลิ่นน้ำหอม ยังบ่นในใจว่าใครนะใส่น้ำหอมเสียหอมฉุยเชียว เดินมาล้างมือข้างหน้าห้องน้ำก็ยังหอม มองหาคนที่น่าจะเป็นเจ้าของน้ำหอมก็ไม่มี นึกขึ้นมาได้ว่า “เออ น้ำหอมก็กลิ่นคุ้นๆ นะ เป็นกลิ่นเดียวกับน้ำหอมที่ดิฉันซื้อมาจาก เมลเบิร์นเพื่อฝากคุณยาย แต่คุณยายติว่ากลิ่นแรงเกินไปเลยยกให้พี่เฟิสท์ ไปใช้” นึกได้อย่างนี้เลยกล่าวขึ้นมาว่า “เฟิสท์ เหรอลูก แม่ขอโทษนะลืมไปเลยมัวแต่คุยกับพี่ๆน้องๆ เฟิสท์ กินเลยนะลูก”
ขณะกินอาหารก็ได้คุยปรึกษากันเรื่องพี่เฟิสท์ ปุ้มน้องชายดิฉันเล่าให้ฟังว่า “การตายแบบกะทันหันแบบนี้เป็นการตายแบบยังไม่ถึงกำหนด” (ปุ้มเคยชวนดิฉันไปหาอาจารย์ที่ติดต่อกับจิตวิญญาณได้ เพื่อสอบถามให้รู้แน่ชัดว่าตอนนี้ลูกเป็นอย่างไร แต่ดิฉันก็ไม่ไปได้ไปเพราะมีคนที่รู้เรื่องด้านนี้บอกว่า เราทำดีแล้ว ลูกไปสบายแล้ว) จิตวิญญาณของคนที่ตายแบบนี้จะยังคงล่องลอยอยู่เพราะยังไม่ถึงเวลาที่แท้จริงของเขา มี ๒ วิธีที่จิตวิญญาณเหล่านี้จะไปเกิดได้ใหม่ก่อนกำหนด นั่นก็คือการหาตัวตายตัวแทน ซึ่งวิธีนี้ไม่ดี หรือการสะสมบารมีจากการสวดมนต์ภาวนาซึ่งจะทำให้ได้ไปเกิดใหม่ในชาติภพที่ดีกว่าวิธีแรกแน่นอน ดิฉันเล่าเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับพี่เฟิสท์ ให้ปุ้มฟัง เขาก็เห็นว่าเรากำลังพาเขาไปในทางที่ถูกที่ควรแล้ว
วันที่สี่ของการทำบุญวันนี้ภาพที่เห็นเป็นภาพพี่เฟิสท์ นักศึกษาเอแบค กำลังออกกำลังกายอยู่ในห้อง fitness หน้าตาหล่อเหลาเหมือนเคย (เป็นพ่อนกหงส์หยกตัวงามของแม่ตัวเดิม) ดิฉันเริ่มรู้สึกว่าลูกแข็งแรงขึ้นเป็นลำดับ และได้เตรียมเขียนกระดาษสำหรับเตรียมเผาส่งเขาเมื่อเรามั่นใจว่าเขาแข็งแรง สมบูรณ์เต็มที่ เย็นนี้คุณฉัตรแก้วนัดเพื่อนคนเดิมให้พาไปพบอาจารย์อีกครั้งเพราะอยากทราบว่าลูกเป็นอย่างไรบ้าง ดิฉันก็เริ่มหวาดๆอีกกลัวว่าทุกสิ่งที่ดิฉันกำลังรู้สึกจะเป็นเพียงภาพลวงตาลวงใจดิฉันเท่านั้นเอง
พวกเราไปถึงร้านอาจารย์ราวทุ่มหนึ่งแต่ร้านปิด โทรถามทราบว่าอาจารย์ไปซื้อของ เราทานมื้อเย็นและไปร่วมสวดมนต์รออาจารย์ที่ร้าน ดิฉันไม่ลืมชวนจิตวิญญาณลูกสวดมนต์ด้วยเหมือนเดิม การได้ร่วมสวดมนต์ครั้งนี้ดีมากสำหรับดิฉันและคุณฉัตรแก้วเพราะเราไม่เคยเห็นเขาสวดกันจริงๆมาก่อน หรือถึงเคยเห็นก็ไม่ได้สนใจใฝ่รู้ สวดมนต์เสร็จเราก็ซักถามในสิ่งที่เรายังติดใจสงสัยกับคนที่เขามาสวดกันเป็นประจำ เราพูดคุยกันเรื่องการอุทิศส่วนกุศลหลังจากการสวดมนต์ น้องๆบอกว่าเราให้ใครก็ได้ ดิฉันเลยถามขึ้นว่า “พี่อุทิศให้แก่จิตวิญญาณของลูกชายได้ไหม” น้องตอบว่า “ได้” ดิฉันเลยขอให้น้องคนนั้นพูดนำดิฉันเพื่ออุทิศผลบุญกุศลให้แก่จิตวิญญาณของพี่เฟิสท์ น้องอีกคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “วันนี้เขาก็มา” ดิฉันรู้เรื่องนี้ดีแน่นอน แต่ก็ถามน้องว่า “ทราบได้อย่างไร” น้องคนนั้นตอบว่า “เขามาขอสวดมนต์ด้วย ธูปไหว้พระที่จุดไว้ ๓ ดอกจึงดับไป ๑ ดอก” จริงๆตอนนั้นดิฉันก็สังเกตเห็นว่าน้องๆที่นำสวดมนต์มีท่าทีแปลกๆที่เห็นธูปดับไป ๑ ดอก
ราวสี่ทุ่มอาจารย์ก็มาถึง อาจารย์ล้างมือล้างไม้ ล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยจึงเดินเข้ามานั่งบนเก้าอี้ อาจารย์ถามว่าใครอยากรู้อะไรก็ให้ถาม เพื่อนคนที่เคยเป็นร่างให้จิตวิญญาณลูกครั้งที่แล้วเริ่มกระสับกระส่ายตั้งแต่เห็นอาจารย์เดินเขามา แต่พวกเราคอยเรียกเขาไว้และในใจดิฉันก็บอกลูกว่า “สงสารคุณอาไม่ต้องหรอกลูก” แล้วเราก็เรียกเพื่อนคนนั้นให้กลับมานั่งข้างดิฉันเหมือนเดิม คุณฉัตรแก้วเริ่มถามว่า “ตอนนี้จิตวิญญาณลูกเป็นอย่างไรบ้าง พวกเราทำตามที่อาจารย์แนะนำอย่างดีที่สุด จิตวิญญาณเขาได้รับไหม” อาจารย์ตอบว่า “เขาได้รับแล้วและตอนนี้เขาไปดีแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง อาจารย์ได้ช่วยเปิดทางให้เขาอีกด้วย เขาไปสบายแล้ว” อาจารย์มองมาทางดิฉันบอกว่า “ให้ทำใจเพราะตอนนี้ความเป็นแม่ลูกของเราทั้งสองคนหมดไปแล้ว ต้องทำใจ ทุกคนมีวิถีทางของตนเอง ตอนเขาอยู่เขาก็ทำให้เราเป็นทุกข์เป็นร้อนไม่ใช่หรือ ถ้าเขายังอยู่เราก็จะเป็นทุกข์ใจกับเขาอยู่อย่างนั้นอีก ทำใจซะ เขาไปดีแล้ว” คุณฉัตรแก้วถามว่า “เขาต้องการสื่อกับเราใช่ไหมจึงมาดึงประตูไว้ และขย่มรถพ่อ” อาจารย์ตอบว่า “ใช่ เขาเจ็บ เขาปวด เขาอด เขาต้องการให้เราช่วย” คุณฉัตรแก้วถามต่ออีกว่า “ทำไมเขาจึงนำทางพวกเรามาพบกับอาจารย์ที่นี่ได้” อาจารย์อธิบายให้ฟังว่า “เวลาท่านไปไหนมาไหนอาจารย์จะอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับจิตวิญญาณทั้งหลายที่ล่องลอยและเปิดทางให้มาพบ” ดิฉันเปรยกับอาจารย์ว่า “ถ้าไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวเรา เราสองคนจะไม่มีโอกาสที่จะได้เรียนรู้เรื่องเวรกรรมบุญบาปอย่างนี้ นี่ก็เป็นเพราะลูกที่นำทางธรรม ทางสว่าง มาให้ ใช่ไหมคะ” อาจารย์พยักหน้ารับว่า “ใช่” ดิฉันถามต่อว่า “เขาตายกะทันหันแบบนี้เราต้องไปเผาส่งวิญญาณเขา ณ ที่เกิดเหตุด้วยหรือไม่” อาจารย์ บอกว่า “ไม่ต้อง” พร้อมเหตุผลแต่ดิฉันจำไม่ได้ ดิฉันยังคงถามต่ออีกว่า “เครื่องใช้ลูกที่ไปเก็บมาจากหอพักควรต้องทำอย่างไรจึงจะดีคะ” ท่านบอก “ให้เอาไปบริจาคให้คนที่เขาต้องการ ไม่ต้องเก็บเอาไว้ใช้เอง” เราอยู่คุยเรื่องต่างๆกับอาจารย์จนดึกจึงลากลับ
ระหว่างทางกลับบ้านดิฉันก็คุยกับคุณฉัตรแก้วว่า ดิฉันมีความสุขเหลือเกินที่รู้ว่าจิตวิญญาณของลูกได้หลุดพ้นและได้พบกับสิ่งดีๆ ฉันเตือนตัวเองว่าใช่ในชาตินี้ความเป็นแม่ ลูก ของเราหมดไปแล้ว และดิฉันก็ได้ทำหน้าที่แม่อย่างดีที่สุดแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งมีความสุข แต่ดิฉันก็แทบไม่ได้นอนเลยคืนนั้น เฝ้าคิดวนไปวนมาเกี่ยวกับคำพูดของอาจารย์ ดิฉันเก็บหมอนลูกที่อยู่ข้างๆตัว (ดิฉันเตรียมไว้ให้เขาทุกคืนตั้งแต่รู้ว่าจิตวิญญาณของลูกยังวนเวียนอยู่กับเราสองคน) ดิฉันรู้สึกว่าอาจารย์พยายามบอกความจริงแก่ดิฉันบางอย่าง ดิฉันพยายามขบคิดว่าความจริงนั้นมันคืออะไร
เช้าวันรุ่งขึ้นดิฉันลุกเตรียมของไปใส่บาตรวันที่ ๕ ตั้งแต่ตี ๕ เตรียมเสร็จขึ้นไปดูคุณฉัตรแก้วเห็นกำลังเตรียมตัว ดิฉันเลยถามขึ้นว่า “พ่อว่าลูกยังอยู่ไหม แต่แม่ว่าเขายังอยู่ อาจารย์ก็รู้ว่ายังอยู่ อาจารย์รับรู้ว่าแม่กับลูกกำลังจะผูกพันกันมากเกินไป และกลัวว่าเมื่อถึงเวลาที่จิตวิญญาณลูกต้องไปเขาจะไม่ไปเพราะความผูกพันมากมายที่เรามีต่อกัน” คุณฉัตรแก้วไม่ได้พูดเสริมว่าอะไร พูดแต่เพียงว่า “ให้ค่อยๆดูไป”
หลังจากใส่บาตรดิฉันก็ไปออกกำลังกายเหมือนเช่นเคย และเดินคุยกับจิตวิญญาณลูกว่า “แม่รู้ว่าหนูยังอยู่ใกล้แม่และเริ่มแข็งแรงดีแล้ว เวลาที่จะต้องจากกันใกล้เข้ามาแล้วลูก แม่ดีใจมากที่สามารถช่วยให้ลูกพ้นทุกข์และจะได้ไปยังภูมิภพที่ดี แม่รักลูกมาก รักเท่าชีวิตแม่นี้แหละ แต่ความเป็นแม่เป็นลูกของเราในชาตินี้หมดลงแล้ว ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่จะต้องไป พี่เฟิสท์ ต้องไปนะลูกนะ ไม่ต้องห่วงพ่อกับแม่ ตอนนี้ เฟิสท์ ได้นำพ่อ แม่ น้อง มาพบทางธรรม ทางสว่างแล้ว ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นเกราะป้องกันพวกเราให้อยู่เย็นเป็นสุข ปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง และด้วยบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ที่ลูกได้สร้างนี้ แม่ขอให้จิตวิญญาณของลูกมีความสุขตลอดไป ถ้าชาติหน้ามีจริงแม่มั่นใจว่าเราจะได้เกิดมาเป็น พ่อ แม่ ลูก พี่ น้อง กันอีก เราจะมีพระพุทธศาสนาเป็นที่พึ่ง เป็นเครื่องนำทาง เราจะอยู่กันไปจนแก่เถ้า เราจะไม่พลัดพรากจากกันเหมือนในชาตินี้อีกนะครับ วันใด เวลาใดที่ลูกต้องไปขอให้แม่รับรู้ถึงอ้อมกอดของลูกก่อนจากด้วยนะครับ” ภาพของลูกที่ดิฉันเห็นตอนนี้คือภาพพี่เฟิสท์ คนปัจจุบันที่หล่อเหมือนฟิล์ม รัฐภูมิ ดังที่พี่ยุทธชอบคุยโม้อยู่บ่อยๆนั่นเอง
เวลาราวสองทุ่มอาคำแดงมาหาที่บ้าน และเล่าเรื่องความฝันให้ฟัง อาคำแดงเริ่มเล่าอย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดาเพราะเป็นอดีตสัปเหร่อมาก่อนว่า “เฟิสท์ มาหาเมื่อประมาณเช้าวันพุธที่ผ่านมา ( พุธที่ ๑ กุมภาพันธ์) บอกว่าตอนนี้ เฟิสท์ ไปแล้ว แต่ เฟิสท์ อยากทำบุญพระ ๙ รูป ตั้งเลี้ยงที่ศาลาที่ตั้งศพพี่ เฟิสท์ ตั้งอาหาร ๒ วง ถ้ามีเณรขอเณรด้วยสัก ๓ องค์ จะทำเมื่อไรให้บอก เฟิสท์ แล้ว เฟิสท์ จะมา เฟิสท์ ไม่อยากไปรบกวนญาติพี่น้อง เลยมาบอกอาคำแดง” อาคำแดงยังเล่าแถมอีกว่า “พอ เฟิสท์ ไปแล้วก็ฝันเห็นจิตวิญญาณสองแม่ลูกมาหา มาบอกว่าเป็นชาวพม่าอยู่มา ๔-๕ ปีแล้ว ตอนนี้ไม่มีที่อยู่เพราะคนเข้ามาอยู่บ้านกันเต็มหมดแล้ว ไม่ได้คิดจะมารบกวนใคร แต่น้องคนตะกี้นี้ (หมายถึงพี่เฟิสท์) เขาแนะนำให้มาหา จึงมา” อาคำแดงก็คิดว่าจะชวนคนที่อยู่ในซอยเดียวกันทำบุญให้
ขณะที่ฟังอาคำแดงเล่าเราก็มองหน้ากันและเริ่มเรียงลำดับเรื่องราว พ่อบอกว่าพ่อมีเรื่องที่ชัดเจนกว่าที่อาคำแดงเล่า เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง ในส่วนตัวของดิฉันฟังแล้วยิ่งดีใจมากขึ้นไปอีกเป็นทวีคูณที่รู้ว่าลูกพ้นทุกข์ไปแล้วและมีความสุข และยังอยากทำบุญอีกด้วย อาคำแดงยังบอกอีกว่า “เฟิสท์ ไม่น่าห่วงเพราะน่าตาสดใสดี สองแม่ลูกนั่นน่าสงสาร” นอกจากดีใจแล้วดิฉันยังรู้สึกภูมิใจอีกด้วยที่ลูกยังมีน้ำใจคิดช่วยเหลือคนอื่นเหมือนเช่นเคย ฉันบ่นพึมพำกับตัวเองว่า “ดีแล้วละลูกที่ช่วยเขา พอเขาพ้นทุกข์ เราก็จะพลอยมีความสุขไปกับเขาด้วย และนี่ก็เป็นอานิสงส์อีกอย่างหนึ่งที่ลูกจะได้รับเช่นกัน” ดิฉันคิดต่ออีกว่า “แหมไม่เสียแรงเลี้ยงกันมา สอนกันมา ตั้งแต่ยังมีชีวิต จนเหลือเพียงจิตวิญญาณ” ใครจะว่าดิฉันฟุ้งซ่านดิฉันก็ไม่ว่าอะไร เพราะถ้าใครไม่เคยตกอยู่ในสภาพของดิฉันก็เป็นการยากจริงๆที่จะเข้าใจ เดี๋ยวนี้เวลาดิฉันอ่านข่าว ดูข่าว เห็นการตาย ดิฉันเข้าใจจิตใจของคนที่เป็นพ่อ-แม่ ญาติพี่น้องได้อย่างดีว่าเป็นอย่างไร โศกเศร้าเสียใจขนาดไหน และรู้สึกหดหู่มากๆว่าทำไมต้องตายทั้งๆที่ยังไม่ถึงวัยอันควร แล้วทำไมคนต้องมาฆ่ากัน ต้องมาสร้างความทุกข์แสนสาหัสให้แก่กันและกัน พวกเราทำอะไรกันมาจึงต้องเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้?
วันนี้เป็นวันที่ ๖ ของการทำบุญใส่บาตรให้ลูก คุณฉัตรแก้วตั้งใจว่าจะทำ ๙ วัน เพราะไม่แน่ใจว่าช่วงวันแรกๆลูกจะได้รับเต็มที่หรือเปล่า ส่วนตัวดิฉันไม่มีปัญหาอยู่แล้วเพราะถึงครบ ๗ วันแล้วดิฉันก็จะยังคงใส่ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ แต่จะไม่ไปใส่ที่วัดจะเตรียมใส่บาตรที่บ้าน หลังจากใส่บาตรก็ปรึกษาเรื่องขอเลี้ยงพระเก้ารูปให้พี่ เฟิสท์ กับพระอาจารย์ที่วัด ตกลงเราจะเลี้ยงพระเช้าวันอาทิตย์ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ (ซึ่งครบหนึ่งเดือนพอดีของการจากไปของลูกพอดี) ที่ศาลาที่เราตั้งศพพี่เฟิสท์ (ตามคำขอ) วันนี้เป็นวันพระเราสองคนจึงนัดเพื่อนและแฟนไปสวดมนต์บ้านอาจารย์ด้วยกัน แต่เขาทั้งสองติดธุระ เราจึงไปกันสองคน วันนี้เราแต่งขาวทั้งชุด (ตามคำแนะนำ) เตรียมดอกไม้ ธูป เทียนไปด้วย วันนี้คนมาสวดมนต์มากกว่าวันก่อนๆที่เรามา ขณะรออาจารย์เดินทางกลับจากเยี่ยมญาติ พวกเราก็สวดมนต์กัน วันนี้สวดหมดเล่มเลย เราสองคนได้มีโอกาสศึกษาวิธีการสวดมนต์อย่างเต็มรูปแบบในวันนี้ สวดมนต์เสร็จอาจารย์ก็มาถึงพอดี เรารออาจารย์เตรียมตัวสักครู่ อาจารย์ก็เริ่มนำไหว้พระอีกครั้งและเริ่มเทศน์ เรื่องที่เทศน์เน้นเรื่องการพูดจาที่ดีเป็นมงคล การทำบุญ การสวดมนต์ การมีสติในการดำเนินชีวิต และการถอนสิ่งที่ไม่ดีที่มีในตัวเราเพื่อจะได้รับเอาสิ่งดีๆเข้าไปทดแทน อาจารย์เทศน์ว่าตัวเราก็เหมือนหลุมที่เติมไปด้วยดิน ถ้าไม่เอาดินเก่าออกก่อน ดินใหม่จะลงไปได้อย่างไร ท่านแนะนำให้ทำบุญให้กับตัวเอง จิตวิญญาณโรคภัยไข้เจ็บในกายสังขาร การงาน เพื่อนร่วมงาน ฯ
คืนนั้นเรากลับถึงบ้านตี ๑ และตื่นใส่บาตรวันที่ ๗ ให้ลูก วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการใส่บาตรแก้ให้ลูก เราใส่บาตรพระ ๔ รูปให้เขาเหมือนเดิม พรุ่งนี้เราก็จะใส่ให้เขาปกติ ๑ ชุดและเริ่มใส่บาตรให้กับตัวเอง
วันพุธที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๙ เราไปใส่บาตรตามปกติ คุณฉัตรแก้วกรวดน้ำเสร็จแล้วเลยไปทำงาน พอดิฉันกรวดน้ำเสร็จจะขับรถกลับบ้าน รถสตารท์ไม่ติด ดิฉันคิดว่า แบตหมดกระมังเพราะดิฉันเสียบกุญแจคาไว้ที่รถ คิดดังนั้นดิฉันก็เดินไปหาพระอาจารย์ที่กำลังกวาดลานวัดอยู่ และขอช่วยกวาดด้วยขณะรอรถชาร์ตแบต ดิฉันกวาดลานวัดอยู่ประมาณชั่วโมง กับมาสตาร์ทอีกทีก็ไม่ติด หันไปเห็นว่าลืมปิดกระโปรงท้ายรถ คิดว่าคงเป็นตรงนี้แหละเลยเดินไปทานข้าวหน้าวัดเสียก่อน หลังจากทานข้าวดิฉันก็เดินกลับมาที่รถ พลันนึกขึ้นได้ว่าหรือว่า “ลูกอยากให้ดิฉันคุยกับหลวงพ่อให้เรียบร้อยในข้อข้องใจเกี่ยวกับการทำบุญของเขาในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ รวมถึงเรื่องการบรรจุกระดูกด้วย” นึกขึ้นได้ดิฉันก็พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ตกลงเดี๋ยววันนี้แม่จะคุยให้เรียบร้อยทุกเรื่อง แต่ให้รถสตาร์ทติดด้วยจะได้ย้ายไปจอดร่มๆ” ครั้งแรกก็ไม่ติดเหมือนเดิมแต่พอดิฉันหันไปดูกระปุกเกียร์เห็นคันเกียร์อยู่ที่ตำแหน่ง N พอขยับมาที่ตำแหน่ง P รถก็สตาร์ทเป็นปกติ พอย้ายรถเรียบร้อยแล้วดิฉันจึงเดินไปหาพระรูปหนึ่งเพื่อขอข้อมูลที่ต้องการ พระรูปนั้นแนะนำให้ไปคุยกับหลวงพ่อเจ้าอาวาส เพราะท่านเป็นคนติดต่อเรื่องหินอ่อนที่จะใช้ในเรื่องการบรรจุกระดูก ดิฉันเดินไปหาหลวงพ่อที่กำลังเดินออกกำลังกายและตรวจตราวัดไปพร้อมๆกัน ดิฉันเล่าเรื่องลูกมาขอให้ทำบุญให้ และถามเรื่องการบรรจุกระดูกลูก หลวงพ่อแนะนำให้ทำพร้อมกันทั้งสองอย่าง บรรจุกระดูกเช้าแล้วเลี้ยงพระเพล ดิฉันบอกหลวงพ่อว่า “เราจองเลี้ยงพระเช้าวันอาทิตย์ไว้ ไม่ทราบว่าหินอ่อนจะเสร็จทันไหมเพราะอยากทำพร้อมกันทีเดียวอย่างที่หลวงพ่อแนะนำ” หลวงพ่อรับปากจะติดตามเรื่องให้และให้มาฟังคำตอบในวันรุ่งขึ้น ดิฉันถามหลวงพ่อว่า “ดิฉันมีบ้านทั้งที่ขอนแก่นและกรุงเทพ ควรจะเก็บกระดูกอย่างไร ตอนนี้ได้ลอยอังคารไปแล้วหนึ่งส่วนยังเหลืออีก ๒ ส่วน” หลวงพ่อแนะนำให้นำมาเก็บไว้ที่วัดเดียวกันให้หมดเวลาทำบุญให้เขาจะได้สะดวก หลวงพ่อไม่แนะนำให้เก็บกระดูกลูกไว้ที่บ้านเพราะเขายังเด็ก คนทั่วไปจะเก็บกระดูกพ่อ-แม่ไว้ที่บ้านเพื่อเคารพบูชา
วันรุ่งขึ้นดิฉันและคุณฉัตรแก้วไปวัดแต่เช้าเหมือนเคย หลังจากกรวดน้ำดิฉันก็นั่งรอพบหลวงพ่อ สักพักท่านก็ลงมา ดิฉันสอบถามเรื่องที่คุยกันเมื่อวาน ตกลงทุกอย่างเรียบร้อย เราจะเลี้ยงพระเช้าวันอาทิตย์ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันครบรอบ ๑ เดือนของการจากไปของพี่เฟิสท์ หลังจากนั้นเราก็จะนิมนต์พระทำพิธีบรรจุกระดูกให้เรียบร้อย
วันศุกร์ที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ คุณฉัตรแก้วและดิฉันก็เริ่มบอกบุญให้ญาติพี่น้องและ เพื่อนฝูงที่อยู่ใกล้ๆทราบ การทำบุญครั้งนี้ ดิฉันเป็นธุระในเรื่องการประสานงานเสียส่วนใหญ่ เรื่องอาหารเลี้ยงพระเลี้ยงแขกในส่วนของดิฉัน ดิฉันตั้งใจจะไปจ้างร้านที่เคยทำให้เมื่อครั้งทำบุญบ้าน แต่เผอิญเป็นช่วงปิดวันมาฆะบูชาแม่ครัวเขาไปเที่ยว ดังนั้นดิฉันจึงต้องแสดงฝีมือเอง ดิฉันทำต้มกระดูกหมูใส่ผักกาดกระป๋องของโปรดของลูก และทอดกุญเชียง
เย็นวันนั้นคุณฉัตรแก้วไปรับน้องฟอร์ทมาจากหอ เพราะเราต้องการพาลูกใส่บาตรและสวดมนต์ให้ถูกต้อง ดิฉันรับรู้ว่าน้องฟอร์ทเริ่มใส่บาตรและสวดมนต์บ้างแล้ว ดิฉันตระหนักดีว่าเราพ่อ แม่ไม่สามารถคุ้มครองปกป้องลูกไปได้ตลอด จึงดึงลูกเข้ามาเรียนรู้เรื่องการทำบุญ การสวดมนต์เพื่อขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ให้รู้เรื่องเวรกรรม เรื่องการแก้กรรม การอยู่อย่างมีสติ ดิฉันมุ่งหวังจะให้บุญกุศลเหล่านี้เป็นเกราะแก้วคุ้มกันลูกไม่ว่าเขาจะทำอะไรอยู่ที่ไหน ดิฉันไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยกับครอบครัวของเราอีก ดิฉันรู้ว่าทางสว่างที่ดิฉันให้ลูก เป็นยาขมหม้อใหญ่สำหรับคนในวัยนี้ แต่ดิฉันก็นำลูกเข้ามาโดยเริ่มจากการทำให้พี่เฟิสท์ ก่อนและหวังให้น้องฟอร์ท ซึมซับความรู้สึกที่ดีต่อการสร้างบุญสร้างกุศล และทำให้แก่ตัวเองด้วยในลำดับต่อไป โดยมีเราสองคนพ่อกับแม่เป็นตัวอย่าง ดังนั้นตลอดเวลา ๓ คืน ๒ วัน เราจึงพาน้องฟอร์ท ใส่บาตรในตอนเช้าและไปสวดมนต์กับอาจารย์ในตอนเย็น
วันอาทิตย์ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ดิฉันตื่นขึ้นเตรียมอาหารและข้าวของสำหรับไปทำบุญให้พี่เฟิสท์ แต่เช้า เรา ๓ คน รวมทั้งรูป โกฏิ และอัฐิของพี่เฟิสท์ ไปถึงวัดประมาณ ๖ โมง ญาติและเพื่อนๆก็เริ่มทยอยกันมา พวกเราช่วยกันตระเตรียมอาหารและสิ่งต่างๆที่ต้องใช้ในการทำบุญและการบรรจุกระดูก ส่วนน้องฟอร์ท ขอแวบนอนในรถเพราะกว่าจะได้นอนก็ดึกและยังต้องตื่นเช้ากว่าปกติอีก บอกดิฉันให้ปลุกตอนพระมา
ราว ๗ โมงครึ่งพระก็มาถึง พิธีการต่างๆเริ่มขึ้นตามลำดับ ดิฉันลืมไปปลุกน้องฟอร์ท ครั้นพอนึกขึ้นมาได้ดิฉันก็ไปไม่ได้แล้ว ก็เลยปล่อยเลยตามเลย จนเสร็จพิธี ช่วงที่นิมนต์หลวงพ่อไปทำพิธีบรรจุกระดูกพี่เฟิสท์ ดิฉันก็พบน้อง ฟอร์ทซึ่งกำลังเล่าให้เพื่อนฟังว่าโดนพี่เฟิสท์ มาทับ น้องฟอร์ทเล่าให้ฟังว่า ขณะนอนอยู่ในรถฝันว่านั่งดูฟุตบอลอยู่ที่บ้านขอนแก่นกับพี่เฟิสท์ เช่นเคย พอนักฟุตบอลคนโปรดของพี่เฟิสท์ (ดิฉันจำชื่อไม่ได้) ยิงประตูได้ น้องฟอร์ท ก็กดเปลี่ยนช่อง พี่เฟิสท์ ก็บ่นว่า “อ้าวเปลี่ยนทำไม” (ดิฉันนึกเห็นภาพที่ลูกเล่าได้เป็นอย่างดี) น้องฟอร์ทบอกว่าถึงตอนนี้น้องฟอร์ทก็รู้สึกตัวตื่นและรู้สึกมีอะไรมาทับที่หน้าอก หายใจไม่ออก เห็นเป็นฝ้าเป็นหมอกขาวๆอยู่ในรถ พยายามเรียกชื่อพี่เฟิสท์ เพราะในฝันได้พูดคุยกันอยู่ แต่ก็ไม่มีเสียงออกมา พลันก็นึกถึงเรื่องที่เพื่อนเคยเล่าให้ฟังเรื่องผีอำ จึงพูดลอยๆว่า “มึงทับได้ทับไป กูหายใจทางปากก็ได้” น้องฟอร์ทเล่าว่าสักพักอาการก็ดีขึ้นและลุกขึ้นได้ ฟังจบดิฉันก็พูดว่า “พี่เฟิสท์ เขามาปลุกให้น้องฟอร์ทมารับพรพระนะซิลูก”
ขณะกินข้าวเช้ากันที่วัดคุณฉัตรแก้วก็ถามอาคำแดงว่า “วันนี่พี่เฟิสท์ มาไหม” อาคำแดงถามว่า “เมื่อคืนจุดธูปบอกหรือเปล่า” เราก็ตอบว่า “เปล่า” แต่คุณฉัตรแก้วบอกว่า “เขามา พ่อรู้สึกได้ เวลาเขาอยู่ใกล้ๆพ่อจะปวดหัวตึบๆ” หลังจากทานข้าวเรียบร้อยพวกเราก็ต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน
เหตุการณ์ทั้งหมดที่เล่ามานี้ไม่ว่าจะพิสูจน์ได้หรือไม่ก็ตาม พวกเรารับรู้ด้วยจิตวิญญาณของเราว่าเป็นความจริง การบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นหลักฐานที่ทำให้เรามีพี่เฟิสท์ อยู่ในใจของเราตลอดไป ถึงตอนนี้เรารับรู้แล้วว่าการจากไปของลูกไม่เสียเปล่า หลวงพ่อบอกว่า “ลูกเป็นห่วงเรามากจึงนำทางเรามาพบทางสว่างที่แท้จริง ตอนนี้จิตวิญญาณของเขาไปดีแล้วและได้รับทุกๆสิ่งที่เราทำไปให้” ดิฉันเลิกเสียใจกับการจากไปของลูกเพราะรู้ว่าเขารักเรามาก และจิตวิญญาณเขาไม่ได้ดับสูญไปแต่อย่างใด เพียงแต่เขาแยกไปตามทางของเขา และลูกได้ทิ้งความดี ความรักที่บริสุทธ์ที่มีต่อพวกเราไว้ข้างหลังด้วย ตอนนี้ภาพที่ดิฉันเห็นเขาคือภาพที่เขาเดินมากอดดิฉันไว้ ครั้งที่ดิฉันบินกลับมาจากเมลเบิร์นและไปเยี่ยมเขาที่เอแบคเป็นครั้งแรก
ลาทีนะ เจ้านก หงส์หยกสวย ขอบุญช่วย นำส่ง ทางสุขสันต์
อยู่ภพไหน ภูมิไหน ไม่สำคัญ เจ้าอยู่ใน ใจแม่นั้น นิรันดร์กาล
แม่ของเฟิสท์ เอง
วันพุธที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๙
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น