๓. รดน้ำต้นไม้ที่มีชีวิตหรือตอที่ตายแล้ว
อาจารย์ถามอีกค่ะว่า “ถ้าเราจะรดน้ำต้นไม้ เราจะรดต้นไม้ที่มีชีวิตอยู่หรือรดต้นตอที่ตายแล้ว”ค่ะใช่ เราคงรด “ต้นเป็น” เพราะเขาสามารถออกดอก ออกผล ให้ร่มให้เงาแก่เราได้ พอตอบดังนี้เราเลยโดนอาจารย์ถามกลับว่า “อ้าว แล้วอย่างนี้เมื่อไรจะทำบุญให้ตัวเองสักที หรือจะรอให้ตายก่อนจึงจะทำ” อาจารย์เทศน์ว่า “ไม่เคยเห็นทำบุญเข้ามีแต่ทำบุญออกกัน” ดิฉันชักงง ว่ามันหมายความว่าอย่างไร เจ้าบุญเข้ากับบุญออกนี่นะ เหมือนอาจารย์เดาใจดิฉันได้จึงอธิบายเพิ่มเติมว่า “ก็ทำให้แต่คนอื่นไง ไม่เห็นทำเข้าให้ตัวเองเสียที” พอฟังแล้วดิฉันก็ถึงบางอ้อ
การทำบุญต้องทำเองจะเอาเงินไปจ้างคนอื่นมาทำแทนคงไม่ได้ อาจารย์บอกว่า “ตอนสังขารดีๆยังไม่ทำบุญเลย ครั้นตอนสังขารไปไม่ไหวถึงนึกอยากจะทำก็ทำไม่ได้หรือทำไม่ได้อย่างที่ใจอยาก” อาจารย์จึงสอนให้ทำบุญตอนเป็นดีกว่าทำตอนตาย ตายไปแล้วจะได้มีบุญสะสมติดตัวไปไม่ว่าจะไปอยู่ในภพภูมิใด บางครั้งจะไปหวังว่าคนอยู่ข้างหลังจะทำให้ ก็อาจจะผิดหวังเพราะเขาอาจจะยุ่งจนไม่มีเวลาทำให้เราอย่างที่เราต้องการก็ได้ เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงแนะนำให้ทำสะสมไว้ด้วยตนเองเสียตั้งแต่ยังมีเรี่ยวแรง ท่านเสริมว่า “ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน” อาจารย์สอนต่อว่า “การสะสมบุญบารมีต้องค่อยสะสม ทำทุกวัน เหมือนการตักน้ำเราก็ตักได้ครั้งละขันมิใช่ครั้งละตุ่ม”
คิดไปก็แปลกดีนะคะ การทำบุญใครทำใครได้ เหมือนเราทำงานหาเงิน เราทำมากก็ได้เงินมาก ทำน้อยก็ได้น้อย เงินที่ได้ไม่เหมือนบุญที่ได้ เพราะเงินสามารถถูกขโมยได้ แต่บุญที่เราทำใครก็มาเอาของเราไปไม่ได้ นอกจากเราจะเราแผ่แบ่งไปให้ ต่อให้พวก hacker (นักเจาะ) ระดับมืออาชีพ ก็ยังไม่สามารถมาเจาะเอาบุญในบัญชีบุญของเราได้ บุญที่ทำไม่ต้องเอาไปฝากธนาคารให้ยุ่งยาก ไม่ต้องไปถอนให้วุ่นวายเหมือนเงินในบัญชี ถึงแม้จะทำ online ได้ก็ตามก็ยังไม่สะดวกเหมือนบุญที่ฝากไว้กับธนาคารตัวเอง
การสะสมบุญต้องอาศัยความเพียร ความอดทน ความมุ่งมั่นเหมือนกับการทำงาน แต่การทำบุญอาจไม่สนุกเท่าการทำงาน การทำงานบางครั้งเราสามารถทำไปพร้อมๆกับการจิบชากาแฟ พูดคุยโทรศัพท์ ฟังวิทยุ หรือปรึกษางานกับเพื่อนร่วมงาน แต่การทำบุญการสร้างบารมีกลับตรงกันข้ามเราต้องใส่บาตรเอง กรวดน้ำเอง สวดมนต์เอง การสวดมนต์ต้องการสมาธิ จิตต้องจดจ่ออยู่ที่บทสวดตรงหน้า ต้องไล่ตามเพื่อนที่สวดด้วยกันให้ทันถ้าเราไปสวดมนต์ร่วมกับผู้อื่น การทำบุญคือการฝึกบังคับจิตให้อยู่แน่วแน่ที่ตัวหนังสือที่มีแต่คำที่เป็นมงคลแก่ตัวเรา อาจารย์บอกว่าเมื่อพูดแต่สิ่งดีๆ สิ่งดีๆก็จะเข้ามาหาเรา นี่คืออาหารของวาจา ดิฉันก็คิดว่า ใช่ อย่างน้อยที่สุดในช่วงที่เรามุ่งมั่นอยู่กับการสวดมนต์ก็เป็นเวลาที่ทำให้จิตของเราสงบ คนเราที่ฝึกจิตโดยการนั่งสมาธิก็ต้องการฝึกจิตของตนให้สงบเช่นกันมิใช่หรือ การสวดมนต์ที่อาจารย์แนะนำเน้นท่าที่นั่งสวดแล้วสบายจะได้สวดได้นานๆ อาจารย์บอกว่าบางครั้งการบังคับกายก็ไม่ใช่การบังคับจิตอย่างแท้จริง
ดิฉันเริ่มทำบุญตั้งแต่ลูกละกายสังขารตั้งใจว่าจะทำไปเรื่อยๆจนกว่าจะหมดเรี่ยวแรง แต่วันข้างหน้าดิฉันไม่อาจรู้ได้ว่าดิฉันจะมีวาสนา บารมี ทำได้อย่างที่ตั้งมั่นอีกนานเท่าไร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น