วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2554

จดหมายฉบับที่ ๓

ถึงป้อม (๑๗ มิถุนายน ๒๕๔๙)

จิตเราเหมือนเครื่องยนต์ ทุกระบบมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลาที่เราใช้งานของกายสังขารของตัวเรา ทุกคนอยู่กับการหลงตัวเอง ชีวิตของทุกคนอยู่กับการแสดง การดิ้นรน ทุกคนก็นอนหลับกลับที่เดิมกันหมด เหลือไว้สิ่งที่ผ่านมากับปัจจุบันที่ยังมีลมหายใจอยู่ ธรรมชาติก็ขาดลมไม่ได้ ทุกอย่างที่มีชีวิตก็ขาดลมไม่ได้เช่นกัน
ก่อนที่เราจะศึกษาชีวิตทางโลก เราต้องพัฒนาจิตของตัวเราก่อน แล้วเราจะเข้าใจความเป็นอยู่ แล้วเราจะรู้ชีวิตทางโลกได้ง่ายและเร็ว ทำให้ปัญหาต่าง ๆ ลดลงโดยเหตุผลมากกว่า แก่งแย่งรบรากันโดยขาดสติ ทั้งที่ทุกอย่างที่เราทำกันมาเราเอากันไปไม่ได้ ทุกอย่างเราทำเราทิ้งไว้ให้ธรรมชาติ แล้วเรามาดูของตัวเราว่า อะไรคือสมบัติที่แท้จริงของตัวเรา แม้แต่กายสังขารของตัวเราไม่ใช่สมบัติของเราเหมือนกัน ผลบุญ ต่าง ๆที่เราได้สะสมไว้ คือสมบัติที่แท้จริงของตัวเรา ทำแล้วไม่ทุกข์ แล้วถามตัวเราเองว่าทุกวันนี้เราทำเพื่ออะไร บางคนบอกเพื่อครอบครัว เพื่อลูก เพื่อความเป็นอยู่ที่ดี เพื่ออนาคต เพื่อตัวเราเอง แต่ไม่ใช่ของเรา ส่วนที่เป็นของเราเวรและกรรมและผลบุญต่าง ๆ นั้นแหละของเรา ทุกอย่างต้องใช้เวลาทำไปเรื่อย ๆ ถึงจะรู้ขั้นตอนของการหลุดพ้น
การหลุดพ้นของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนได้จากการกระทำ บางคนได้จากการฟัง บางคนได้จากการดู บางคนได้จากการเรียนรู้ ทุกอย่างอยู่ในกายของเราทั้งหมด เวลามารวมกันจิตของตัวเราก็จะแยกแยะ มีทั้งดีและไม่ดีอยู่ในตัวเราทั้งหมด ทุกข์ถึงเกิดมากมายโดยไม่รู้หน้าที่ (เพราะจิตยังยึดยังติด) แต่ละอย่างที่ดี (เราคิดว่าดี) อยู่ในจิตเรา ทุกอย่างแย่งกันออก ทั้งอารมณ์ ทั้งโทสะ ทั้งความขุ่นมัว ความร้อนรน การเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวทุกอย่างเป็นของเราหมด เราได้แต่เห็นสิ่งที่ไม่ดีของคนอื่น แต่สิ่งที่ไม่ดีที่อยู่ในตัวเรา เขายังต้องการผลที่เรียกว่าบุญ จิตนิ่ง วาจานิ่ง อารมณ์นิ่ง สิ่งที่คิดล่วงหน้านิ่ง ความโกรธนิ่ง ทุกอย่างได้ระดับแล้ว ธรรมะก็จะเกิดขึ้นเอง

อ่านหลาย ๆ ครั้งจะเข้าใจ
สว่าง วาสสนิท

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น