รับพี่เฟิสท์กลับจากโรงพยาบาล
เรื่องที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้เป็นเรื่องที่คุณฉัตรแก้วเล่าเรื่องการไปรับจิตวิญญาณของพี่เฟิสท์จากโรงพยาบาลกลับบ้าน
พ่อคะ (๑ กรกฎาคม ๒๕๔๙)
วันนี้แม่โทรไปหาตากับยายที่ขอนแก่น ทุกคนสบายดี แล้วก็โทรไปหาอาจารย์ไปรับบุญจากการฟังธรรมะจากอาจารย์ คุยกันหลายเรื่องเกือบชั่วโมง สุดท้ายแม่ถามอาจารย์ว่าแม่ทำบุญให้จิตวิญญาณพี่เฟิสท์ เขาได้รับไหม อาจารย์บอกว่า “ป้อมไม่ต้องทำให้เขาหรอก ให้ทำให้กับตัวเอง เขาอยู่ทางนี้เขาก็ได้บุญ ไปขอบุญที่ไหนเขาก็ไป เขาอยากกินอะไรเขาก็ติดต่อได้ ไม่ต้องห่วงเขา”
อาจารย์เล่าต่อว่าพิศกับแม่ (ที่ไม่สบายแล้วอาจารย์ให้พลังช่วย พ่อนึกออกนะ) วันนั้นเขาคุยกับอาจารย์เรื่องจะไปให้กุศลผลบุญจิตวิญญาณที่โรงพยาบาล พี่เฟิสท์ ก็บอกกับอาจารย์ว่า “เขาก็อยากให้อาจารย์ไปให้กุศลผลบุญแก่จิตวิญญาณเขาและจิตวิญญาณเพื่อนๆที่โรงพยาบาลด้วยเหมือนกัน” เพราะตอนนี้เขาก็ยังต้องไปที่โรงพยาบาล อาจารย์อธิบายว่าที่โรงพยาบาลจะมีผู้คุมจิตวิญญาณ เช่น ยมทูต นี่แหละ (แม่จำไม่ได้) พี่เฟิสท์ยังต้องไปรายงานตัวอยู่ แม่เลยถามว่าทำไมจิตวิญญาณเขาถึงอยู่ที่โรงพยาบาลและเขาออกมาได้อย่างไรถ้ามีคนคุมอย่างนั้น อาจารย์บอกว่า “จิตเขาแตกดับที่โรงพยาบาล และก่อนที่จิตจะดับจิตเขารอพ่อกับแม่ พอเรามา ด้วยพลังจิตสุดท้ายนี้ เขาจึงมาหาเราได้ และประจวบกับจังหวะที่หลวงตาและพวกเราได้ทำพิธีนำเอาวิญญาณเขามาด้วย เขาจึงหนีออกมาได้ (อาจารย์ใช้คำว่าหนีนะ) แต่เขาก็ยังต้องไปโรงพยาบาลเพราะจิตวิญญาณยังติดอยู่ที่นั่น”
อาจารย์บอกว่าจะคุยเรื่องนี้กับสมาชิกที่ไปสวดมนต์ แต่แม่ไม่รู้ว่าเมื่อไร แม่อยากให้พ่อรีบทำตรงนี้ให้ลูกด้วยเขาจะได้หลุดพ้นทั้งหมด และเพื่อนๆที่พูดถึงก็คือจิตวิญญาณทั้งหลายที่แตกดับอยู่ที่โรงพยาบาลนั่นเอง
รักพ่อค่ะ
ป้อม
ถึงป้อม
หลังจากอ่านอีเมล์หนู วันเสาร์ที่ ๑ ก.ค. ๔๙ พ่อตั้งใจไว้ว่าวันอาทิตย์จึงจะไปหาอาจารย์ เพราะเย็นวันเสาร์พ่อต้องไปงานแต่งงานคุณอนุชิต (ผู้จัดการลูกน้องคุณเสถียรที่เคยไปเยอรมันและญี่ปุ่นด้วยกัน) เหตุการณ์วันเสาร์จะมีต่ออีกนิดหน่อย พ่อจะเล่าต่อหลังจากเล่าเรื่องวันอาทิตย์
วันอาทิตย์ที่ ๒ ก.ค. ๔๙ พ่อตื่นใส่บาตรและกรวดน้ำตามปกติ หลังจากเสร็จก็นอนต่อ มาตื่นตอนเที่ยงและไปกินข้าวที่ร้านป้าแดง ขณะนั่งกินข้าวก็โทรหา อาจารย์บอกว่า “ผมจะเข้าไปหาประมาณ บ่าย ๒” อาจารย์บอกว่า “ได้” ไปถึง อาจารย์ก็เล่าเรื่องที่โทรคุยกับหนูให้พ่อฟัง หลังจากเล่าจบ พ่อก็ถามว่า “ทำวันนี้ได้มั๊ย และต้องเตรียมอะไรบ้าง” อาจารย์บอกว่า “ได้” ก็กะว่าจะไปกันประมาณ ๔ โมงเย็นและแวะซื้อของที่ต้องใช้ตอนเดินทาง ก่อนการเดินทางก็นั่งคุยกัน พ่อถามว่า “ทำไมเขาถึงอยู่โรงพยาบาล” อาจารย์บอกว่า “ช่วงจิตก่อนดับเขารอแม่และพ่อเป็นเสมือนแรงอธิษฐานของเขา จึงทำให้จิตเขาไม่ดับสลาย ทำให้เขาสามารถรวมพลังจิตมาทำให้พ่อเห็นได้ในตอนหลัง” และ อาจารย์เล่าต่อว่า “เขายังไม่ถึงอายุขัย เขาเอาไปผิดตัว ที่เขาตั้งใจมาเอาเป็นเพื่อนของเขาที่นั่งอยู่เบาะด้านหลังเขา จึงเป็นเหมือนการต่ออายุให้เพื่อนเขาช่วงขณะนั้น” พ่อก็นั่งคิด อาจารย์บอกว่า “เขาบอกว่า พ่อไม่ต้องเสียใจหรอกอย่างไรเขาก็อยู่ในจิตของพ่อ แม่ และน้องอยู่แล้ว” และ อาจารย์ก็เล่าต่อว่า “ต่อไปพ่อก็จะสื่อกับเขาได้เอง สื่อในที่นี้หมายถึงใช้จิตคุยกันเหมือนดังที่ อาจารย์คุยกับเขา” และ อาจารย์ก็อธิบายต่อไปหลายเรื่อง พอถึงตอนนี้ อาจารย์บอกว่า “เขาพูดแทรกขึ้นมาว่า พ่อเขาไม่เซ่อหรอก” แต่ อาจารย์บอกว่าเขาไม่ได้พูดอย่างนี้ แต่มีความหมายทำนองนี้ และ อาจารย์พูดต่อว่า “ปกติเขาเป็นคนพูดตรง ๆ หรือ” พ่อก็ตอบว่า “ใช่” (ช่วงที่คุยกับ อาจารย์เรื่องที่จิตวิญญาณอยู่ในโรงพยาบาลพ่อก็นึกเหมือนกันว่าจะเป็นโรงพยาบาลไหน เพราะเหตุเกิดอยู่ใกล้โรงพยาบาลบางนา ๒ พ่อไม่แน่ใจว่าเขาพามาที่นี่หรือเปล่า พ่อก็พูดว่า “โรงพยาบาลแรกหรือโรงพยาบาลที่ ๒ ที่ตำรวจนัดให้มารับเขา ถ้าโรงพยาบาลที่ ๒ ก็ชื่อโรงพยาบาลบางพลี” พอถึงตอนนี้ อาจารย์บอกว่า “เขาบอกว่าโรงพยาบาลบางพลี”)
จากนั้นก็ขับรถออกจากคลอง ๑๐ ประมาณ ๔.๑๐ น. วิ่งมาทางคลอง ๗ และผ่านบ้านฟ้าก็ชี้ให้ อาจารย์ดู มาแวะซื้อของที่ โลตัส ถ.บางนา-ตราด อาจารย์บอกว่าให้เตรียม ๒ ชุด เหมือนไปขอบุญแต่อยากได้ ผ้าไกรหรือผ้าอะไรก็ได้ที่พระต้องใช้ ที่เราสามารถพอจัดได้ แต่พ่อก็เตรียมชุดใหญ่ให้ เพราะ อาจารย์ทิ้งท้ายไว้ว่า “ถ้าเป็นทางโลกเหมือนเราจ่ายค่าเบิกทาง จะดีอย่างไรก็ขึ้นกับค่าเบิกทาง”
พ่อจอดรถที่ถนนบางนา-ตราดหน้าโลตัส (ถ้าจะเข้าไปจอดข้างในรถติดมากเพราะเขาใช้พื้นที่จัดงานอะไรก็ไม่รู้) และเข้าไปซื้อของถวายพระคนเดียว อาจารย์และน้าพลรอในรถ ซื้อของเสร็จก็หิ้วถังสังฆทานออกมา (พ่อซื้อจัดเองทั้งหมด รวมทั้งถังพลาสติกด้วย) พอเดินมาถึงรถ เปิดท้ายรถเก็บของและเข้ามานั่งที่ด้านคนขับ อาจารย์บอกว่าขณะที่หิ้วกระป๋องมาจิตวิญญาณตามมาเต็มไปหมด
จากนั้นก็ขับรถเข้าไปที่วัดบางพลีกลาง ที่อยู่ก่อนจะถึงโรงพยาบาลบางพลี ก่อนจะลงจากรถเพื่อถวายของพระที่วัด อาจารย์บอกว่า “ให้หิ้วลงไป ๑ ถัง และให้จบให้กับจิตวิญญาณที่อดยาก ทุกข์ทรมาน และเจ็บปวด” ใช้เวลาเดินเข้าไปในวัดเพื่อหากุฏิลึกพอสมควร ระหว่างทางเจอธาตุที่เขาทำไว้เก็บกระดูกเต็มไปหมด เยอะมาก เกิดมาพึ่งเคยเห็นเยอะที่สุดในชีวิต เริ่มคิดและเข้าใจในหลาย ๆ เรื่องที่ อาจารย์เล่าให้ฟังว่า พี่เฟิสท์ เขาต้องผ่านด่านต่างๆ เพื่อขอเปิดทางในขณะที่จะไปสวดมนต์กับหลวงพ่อและไปขอบุญ พอกลับมาก็ต้องแบ่งบุญให้เขาไม่เช่นนั้นเขาก็จะไม่เปิดทางให้กลับมาโรงพยาบาลบางพลี
พอมาถึงกุฏิพระที่ตั้งอยู่ลึกลับและซับซ้อนมาก พ่อก็จบตามคำที่ อาจารย์แนะนำไว้ แค่เริ่มตั้งจิตอธิษฐานหลังจากจบ “นะโม” พ่อรู้สึกสัมผัสได้ทั้งตัว รุนแรงมาก และแผ่ซ่านไปตั้งแต่กลางตัวขึ้นมา พอเดินออกมาขึ้นรถ อาจารย์บอกว่า “ที่นี่แรงมาก แทบไม่มีที่จะเดิน” ต่อจากนั้นก็ขับรถไปต่อที่วัดหลวงพ่อโต อาจารย์บอกว่า “ให้ขับเข้าไปและผ่านออกไปเลย” ช่วงขณะขับอยู่ในวัด อาจารย์ก็พาให้บุญบารมีแก่จิตวิญญาณและพูดว่า “เอาจิตวิญญาณที่อดอยากมาไว้ที่นี่” และบอกให้ขับรถต่อออกไปทางบางปลา ถ.เทพารักษ์ และเข้าไปที่วัดบางปลา อาจารย์บอกว่า “ถังนี้ให้จบให้กับจิตวิญญาณ พี่เฟิสท์” พ่อขึ้นไปที่กุฏิพระกับน้าพล อาจารย์นั่งรอในรถ ขณะจบเสร็จน้าพลบอกว่า “เขารับรู้แล้ว” แต่พ่อรับความรู้สึกไม่ได้ ใจสั่น ๆ เฉย ๆ จากนั้นก็ลงมาที่รถและขับรถไปที่โรงพยาบาล อาจารย์บอกว่า “ตอนนี้เขาไปรอที่โรงพยาบาลแล้ว” พอเลี้ยวเข้าไปถึงโรงพยาบาลบริเวณลานจอดรถ ฝนตกพรำๆ อาจารย์บอกว่า “ให้จอดรถไว้ที่ลานจอด” และบอกพ่อให้ ลงจากรถ จุดธูป ๑ ดอก และให้เรียกเขากลับบ้านกับพ่อ เสร็จแล้วให้ปักธูปไว้ ช่วงขณะที่เรียกเขารู้สึกขนที่แขนรุกทั้งสองข้าง (ตอนแรกคิดว่าอาจจะเกิดจากฝนตกหรือเปล่า แต่จริง ๆ แล้วเป็นความรู้สึกไม่ใช่เกิดจากฝนตก) พอทำเสร็จพ่อเปิดประตูเข้ามาที่รถ อาจารย์ชี้ให้ดูที่หน้าโรงพยาบาลและบอกว่า “ให้เดินเข้าไปและขึ้นบันได ขึ้นไปพอถึงขั้นที่ ๓ นับจากข้างบนลงมาให้หันหลัง เดินกลั้นใจกลับลงมาตั้งแต่บันไดขั้นที่ ๓ จนถึงพื้นชั้นล่าง” พ่อก็ทำตามที่ อาจารย์แนะนำทั้งหมดและกลับมาขึ้นรถขับกลับบ้าน อาจารย์บอกว่า “ให้ขับรถวนกลับทางใหม่ ไม่ต้องขับย้อนกลับทางเดิม” ช่วงขับกลับมาระหว่างทางวงแหวน อาจารย์บอกว่า “ให้ขับไปที่บ้าน ให้พ่ออาบน้ำและเปลี่ยนชุดใหม่”
มาถึงที่หน้าบ้านประมาณ ๒ ทุ่มครึ่ง อาจารย์รอในรถ บอกพ่อให้จุดธูป ๑ ดอก ปักไว้นอกบ้านบอกว่า “จิตวิญญาณทั้งหลายที่มาส่งให้กลับไป” พ่อก็ทำตามและเข้าไปอาบน้ำในบ้านอย่างรวดเร็วขณะกำลังอาบน้ำน้าพลตามเข้าไปบอกว่า “อาจารย์บอกว่าให้สระผมด้วย” ซึ่งขณะนั้นพ่อก็กำลังสระผมอยู่แล้ว
พออาบน้ำเรียบร้อยพ่อก็เปลี่ยนชุด ขับรถไปคลอง ๑๐ กับ อาจารย์ตอนนั้นปูและพิศกำลังสวดมนต์ใกล้เสร็จแล้ว เวลาประมาณ ๓ ทุ่ม ๑๕ นาที หลังจากทีมปูและพิศสวดเสร็จ พ่อก็สวดต่อ ส่วนน้าพลถอนเฉยๆ ขณะพ่อสวด อาจารย์ก็แนะนำธรรมะให้ปู กับ พิศ และพิศที่มีแม่มาด้วย พอเสร็จจากสวดมนต์ก็หันกลับมาที่ อาจารย์และพิศ พิศถามว่า “พี่ฉัตรพา อาจารย์ไปขอบุญที่ไหนมา พอเปิดประตูหน้าบ้านเข้ามาเขารู้สึกแรงมากที่คอ” พ่อก็เลยบอกว่า “เขามาอยู่ที่นี่แล้ว”
ประมาณ ๕ ทุ่มหลังจากคุยกับ อาจารย์, พิศ, ปู พ่อก็ขอตัวกลับ อาจารย์บอกว่า “เขาไปกับพ่อ พอพ่อไปทำงานเขาก็กลับมาที่นี่” พ่อไม่ได้พูดอะไรแล้วก็ขอลากลับ
กลับมาบ้านก็เข้านอนปกติ และนอนบนที่นอนที่ต้องรักษากายสังขารที่ อาจารย์ให้มา และก็สวดคาถาพระพุทธเจ้าชนะมารและก็เหมือนจะหลับไป มาสะดุ้งตื่นตอนได้ยินเสียงเตียงดังเหมือนคนมาทำอะไรที่เตียงพ่อ พอรู้สึกตัวขึ้นมา พ่อก็รู้สึกซ่านไปทั้งตัวเป็นเวลา ๒-๓ นาที ตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงเส้นผมและเข้าไปในจิต ช่วงขณะนั้นพ่อก็พูดกับเขาว่า “พ่อรู้แล้วว่าพี่เฟิสท์มา ต่อไปก็อยู่กับพ่อไม่ต้องไปโรงพยาบาลอีกแล้ว อยากไปที่ไหนก็ตามใจแต่ขอให้กลับมาหาพ่อที่บ้าน” ซึ่งความรู้สึกซ่านไปทั้งตัวก็ค่อยๆ หายไป (ซึ่งช่วงขณะนั้นมีความรู้สึกที่ดีและหลับตาก็เห็นแสงอะไรที่สวยงามดีจริง ๆ)
วันจันทร์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๔๙ เวลาประมาณ ๑๐.๑๐น. ไปคุยกับแม่บ้านและคุยกันหลายเรื่องมาถึงช่วงหนึ่ง แม่บ้านถามพ่อว่า “วันเสาร์อาจารย์ไปไหน แม่บ้านนั่งสมาธิ เขาบอกว่าเขาไม่เห็นพ่อเขาเป็นห่วง” เลยนึกออกว่า วันเสาร์เราไปงานแต่งงานคุณอนุชิต ไม่ได้ไปสวดมนต์ที่คลอง ๑๐ และพ่อก็ถามว่า “คืนวันอาทิตย์ตอน ๕ ทุ่มกว่า ๆ เขามาหาพ่อใช่มั๊ย” แม่บ้านบอกว่า “ใช่”
พอลองนึกดูและคิดว่าทำไมเขาต้องผ่านด่านซึ่งมีจิตวิญญาณที่อดยาก เจ็บปวด และทุกข์ทรมานอยู่ พอดูเส้นทางระหว่างจากโรงพยาบาลบางพลีมาบ้านและคลอง ๑๐ ก็ถึงบางอ้อเพราะเส้นทางจะต้องผ่านวัดจึงเขียนแผนที่มาให้ดู
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น