ต้นโพธิ์ที่เป็นที่ตรัสรู้ ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีประวัติดังนี้
มีหญิงชราเดินผ่านที่เรียกว่าไฟที่กำลังเผาผลาญ ขณะเดินผ่านบุคคลที่อยู่ภายนอกร้องกันก็ไม่ให้หญิงชราที่เดินที่เรียกว่าผ่านไฟอันนี้ ต่าง ๆ ทุกอย่างเข้าใกล้ไฟ แต่ในส่วนที่เป็นหญิงชราที่เดินผ่านที่เรียกว่าไฟอันนี้ สิ่งที่อยู่ในกาย สิ่งที่อยู่ในวาจาของหญิงชราอันนี้กล่าวไว้ว่า ไฟภายนอกทั้งหลายที่เกิดขึ้นเป็นเพียงธรรมชาติ ไฟที่เผาผลาญจิตเราตลอดทั้งชีวิต ตั้งแต่เกิดมาจนขณะนี้กายสังขารชรา ไฟที่เผาผลาญในกายสังขารของตัวเราก็ยังไม่สิ้นสุดเลย แต่ไฟที่เรากำลังเดินลุยอยู่นี้กำลังจะมอดไหม้แล้วสิ้นสุดลงเมื่อถึงเวลาของเขา แต่ให้ทุกคนที่ร้องบอกว่าอย่าเดินลุยไฟ ช่วยดับไฟที่อยู่ในจิตของตัวในสิ่งที่เป็นหญิงชราคนนี้บ้าง ว่าไฟที่เห็นอยู่ภายนอกไม่เท่ากับไฟที่เผาผลาญเลย ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่จำความได้ จนสังขารจะเดินไม่ได้ ไฟที่อยู่ในกายสังขารที่อยู่ในจิตก็ยังไม่มอดไหม้เลย ให้ทุกคนที่ช่วยดูอยู่ภายนอกช่วยดับให้ที อันนี้แหละคือธรรมะที่สูงสุด เรามองเห็นภายนอก เรารู้สิ่งต่าง ๆ ทุกอย่าง เราดับได้เราแก้ได้ แต่ถามว่าใครที่จะช่วยดับไฟที่อยู่ในกายของหญิงชรา ตั้งแต่เกิดมาจนกายสังขารจะดับแล้ว ไฟที่อยู่ในกายสังขารของหญิงชราก็ยังหาทางดับไม่ได้ แต่ในสิ่งหนึ่งที่เข้าไปดับไฟที่อยู่ในกายของหญิงชราได้ อานิสงค์ จากสิ่งที่เป็นน้ำ มีน้ำอยู่ขันหนึ่ง เหลือเวลาช่วงสุดท้ายของชีวิต ข้าพเจ้าขออธิษฐานจิต ในเมื่อน้ำอันนี้ ดับไฟภายนอกที่ข้าพเจ้าได้เดินลุยอยู่นี้ ข้าพเจ้าขอเป็นทานขอน้ำขันนี้ ขอดับไฟเวรทั้งหลาย กรรมทั้งหลาย ที่อยู่ในกายสังขารของข้าพเจ้าตลอดชาติภพภูมิต่าง ๆ ทุกอย่างต่อไป เวลาที่หญิงชราอธิษฐานเสร็จ ไฟที่อยู่ภายนอกก็ดับ ไฟที่อยู่ในกายสังขารของหญิงชราก็ดับกลายเป็นต้นโพธิ์ทั้งหลาย ในสิ่งต่างๆที่มนุษย์ได้เข้าพึ่งพิงอาศัย ทั้งสรรพสัตว์ก็ดี ทั้งมนุษย์ก็ดี ทั้งจิตวิญญาณต่าง ๆ ทุกอย่างได้เข้าไปพึ่งพาอาศัยต้นโพธิ์เหล่านั้น เป็นที่พึ่งเป็นที่ยึด จากกายสังขารของหญิงชราที่อธิษฐานด้วยน้ำ เพราะฉะนั้นธรรมะต่าง ๆ ทุกอย่าง ไม่จำเป็นเลยที่มนุษย์แต่ละคน จะต้องถึงจุดหมายปลายทาง ในขณะที่เกิดทุกสิ่งทุกอย่าง มนุษย์ก็สามารถใช้ปัญญาทั้งหลาย ดับเวรได้ดับกรรมได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ในขณะที่เกิดขึ้นตลอดระยะทาง หรือเวลาในการเดินทางของมนุษย์ทุกคน แม้แต่สิ่งต่างๆที่เรียกว่าสังขารของตัวเราดับ แต่สิ่งที่เป็นสังขารของตัวเราดับแล้ว ให้มีประโยชน์บ้าง ให้มีสิ่งต่างๆใช้กับคนรุ่นหลังต่อไป ให้เป็นคติก็ดี ให้เป็นวาจาก็ดี แม้แต่กายสังขารที่มนุษย์ได้กินที่เป็นข้าว ที่เรียกว่าพระแม่โพสพ อันนี้ก็เกิดจากกายสังขารคืออุทิศกายสังขารที่มีอยู่ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลาย สรรพสัตว์ทั้งหลายทุกสิ่งทุกอย่าง ต่อไปไม่จำเป็นเลยที่เราจะต้องมีทรัพย์สินมากมาย เสียสละแม้แต่กายสังขารของตัวเรา ก็สละให้แก่มนุษย์ทั้งหลายได้ ให้แก่จิตวิญญาณทั้งหลายได้มากมาย แค่กายสังขารของตัวเรา แค่คำอธิษฐานจิต แค่วาจา ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อเหตุการณ์อันนั้นเกิด ความหลุดพ้นต่างๆทุกอย่างก็เกิด เวรทั้งหลายที่อยู่ในกายสังขาร สำหรับมนุษย์แต่ละคนก็ดับ อันนี้คือการแก้สำหรับมนุษย์ ในโลกของมนุษย์คือปัจจุบันของทุกๆคน น้ำดับไฟที่อยู่ภายนอกได้ ดับไฟที่อยู่กายสังขารได้ ในขณะเดียวกัน จากที่เรียกว่าหญิงชรา ในน้ำที่มนุษย์และผู้คนที่มาดับให้ แต่ในสิ่งที่หญิงชราขอคือที่เขาดับภายนอก เอามาดับในจิตของตนเองบ้าง อันนั้นแหละคือการหลุดพ้น
แต่ในส่วนที่มนุษย์แต่ละคน หรือสิ่งที่มนุษย์เรียกว่า ทุกที่ที่ทำกุศลเกิดในสิ่งต่างๆ มนุษย์ก็หลุดพ้นได้ไม่มีสิ่งใดทั้งหลาย ที่มนุษย์ไม่หลุดพ้น จากการแก้ของมนุษย์แต่ละคน จากสิ่งที่มนุษย์ได้วางก็ดี ได้ทำก็ดี ได้แก้ก็ดี ของมนุษย์ทุกคน ในสิ่งที่มนุษย์แต่ละคนได้แก้แล้ว ได้วางแล้ว ได้หลุดพ้นจากเรื่องต่างๆ สิ่งต่างๆ ของมนุษย์ทั่วไป เวลาที่เรามองก็ดี เวลาที่เราแก้ก็ดี เวลาที่เราหลุดพ้นก็ดี หรือเวลาที่เรายังทำไม่ได้ มนุษย์เรียกว่ายากมากมาย เพราะฉะนั้นไม่มีสิ่งใดที่ยากเกินไปสำหรับมนุษย์ทุกคน ในการแก้เวรแก้กรรมของตัวเราต้องทำหลายวิธี ทำพร้อม ๆกันไปในแต่ละวัน ต่างวาระต่างเวลา แต่ในวันเดียวกัน ต้องทำให้ครบบุญ คือการเดินสายกลางมรรคมีองค์แปด แก้ด้วย วางด้วย ปฏิบัติด้วย ใส่บาตรด้วย ขอถอนขออโหสิเวรขออโหสิกรรมต่อสิ่งต่างๆด้วย สวดมนต์ด้วย ฟังธรรมะด้วย ว่าแต่ละวันเราอุทิศให้อะไร แก้ให้แก่อะไร ต้องขอบุญขอบารมีจากทุกๆพระองค์ เพื่อให้เราได้ผ่านพ้นสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรค ด้วยบุญ ด้วยบารมีของทุกๆพระองค์ ต้องให้เราผ่านภายในภายนอกด้วยบารมีต่าง ๆ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมะบารมี ปัญญาบารมี วิริยะบารมี ขันติบารมี สัจจะบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี ความมีเมตตาจะทำให้เราผ่านที่เป็นเวรที่เป็นกรรมทั้งภายนอกภายในของตัวเรา การปฏิบัติธรรม เราไม่ยึดเราไม่ถือ ในสิ่งที่เป็นกรรม เป็นเวร ปล่อยให้ว่าง ๆ คือวางด้วยจิต เรามีอาชีพอะไรในการเลี้ยงกายสังขาร เราก็ทำไปด้วย แก้ไปด้วย วางไปด้วย ธรรมะของหลวงพ่อเป็นธรรมที่สูงสุด ในการที่เราจะฟังธรรมะของหลวงพ่อให้เข้าใจให้แตกฉาน เราต้องใส่บาตรให้ตัวเอง คืออุทิศส่วนกุศลให้ตัวเอง ให้สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวัน คือแก้แต่ละวัน เราทำไปแค่วันนี้ แล้วเราอย่าหวัง ทำไปเรื่อยๆ ทำทุกวัน ทำเหมือนปลูกต้นไม้ใหญ่ ให้น้ำ ให้ปุ๋ย แต่งกิ่ง แต่งก้าน พรวนดิน ทำไป วางไป ไม่หวังผล เมื่อถึงเวลา ผลแห่งการแก้ การวาง ด้วยกุศลผลบุญต่างๆ ก็จะถึงสิ่งที่เราต้องการคือจุดหมายปลายทาง ทางแห่งไม่ทุกข์ ทางแห่งการหลุดพ้น ของทุกๆคน หลวงพ่อเทศน์โปรดเราว่า มนุษย์ทุกคนเกิดมาใช้เวร มนุษย์คิดที่จะไม่ใช้เวร ไม่ได้ แต่มนุษย์คิดที่จะไม่สร้างเวรต่อได้ กุ้ง หอย ปู ปลา ที่ฆ่ามา ทำมา เป็นเวรทั้งหมดทั้งสิ้น แล้วเวรในอดีตชาติ เวรก่อนอดีตชาติ จนถึงเวรในปัจจุบันชาติ สิ่งใดที่ทำให้เราทุกข์ สิ่งนั้นเป็นเวรกับเรามา การใส่บาตรพระบิณฑบาต แก้เวรได้ ทุกข์กับกายสังขารที่ไม่ดี ทุกข์กับหน้าที่การงาน ทุกข์กับบุตร ทุกข์กับเพื่อนร่วมงาน มีความทุกข์วิตกกังวลคิดล่วงหน้า ทุกข์กับสิ่งใด ก็ใส่บาตรกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ อันนี้คือการแก้ เหมือนวาจาของเราเมื่อพูดไปแล้วบางครั้งก็ทำให้เราทุกข์ เพราะฉะนั้นในการเป็นอยู่ของเราในแต่ละวัน เราควรจะมีสติอยู่ตลอดเวลา เราใช้สตินำทาง เราไม่ใช้โทสะนำทาง เมื่อโทสะเกิด เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว เราใช้สติระงับยับยั้งไม่ให้วาจาการด่า การว่า การแช่งเกิด ไม่ให้การกระทำที่เป็นเวรที่เป็นกรรมเกิด ใช้การกำหนดรู้ด้วยสติ เมื่อรู้แล้วเราก็วางไม่ยึดติด อันนี้เป็นแค่การระงับแต่ไม่หลุดพ้นได้แค่ระงับ แต่ถ้าเราต้องการที่จะหลุด คือหลุดพ้นด้วยจิตจากโทสะต่าง ๆ ของเราที่เกิดอยู่เป็นอยู่ เราก็ใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลให้แก่ ไฟที่อยู่ในกายสังขาร คือโทสะ เราทำไปเรื่อยๆทุกวันๆ เมื่อถึงเวลาเราก็หลุดพ้นจากโทสะต่าง ๆ โทสะเกิดเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวก็หาย แต่ระหว่างที่โทสะเกิด ถ้าเราไม่ระงับด้วยสติ ปล่อยไปตามอารมณ์ ก็จะมีการด่า การว่า การแช่ง การทำร้าย การฆ่าต่าง ๆ เกิดขึ้น เมื่อโทสะหายไปแล้ว สิ่งต่างๆที่ทำไว้ก็จะเป็นเวรเป็นกรรมทำให้เราทุกข์ต่อไป เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติสติสำคัญ สติเป็นตัวเบรค เหมือนขับรถยนต์ของทุกคนเขายังต้องมีเบรคเลย ถ้ารถยนต์ไม่มีเบรคก็จะมีการชนระไปทั่ว ก็ไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง เหมือนคนขาดสติ ไม่มีสติยับยั้งคอยเบรคไว้ ก็ไปไม่ได้ถึงไหน เดี๋ยวก็จอดเหมือนรถเข้าอู่ โรงพยาบาลบ้าง เข้าคุกบ้าง แต่ตรงกันข้ามถ้าเรามีสติเป็นตัวเบรคของเราแล้ว สมาธิก็จะตามมา ปัญญาก็จะเกิดขึ้น แก้ไป ทำไป วางไป ของแต่ละวันต้องผ่านอุปสรรค คือ เวรและกรรมของตัวเรา ที่คอยมาดึงไว้มาขวางไว้ ที่ไม่ให้เราผ่านไปให้ถึงจุดหมายปลายทางของการวางการแก้ การหลุดพ้นต่างๆของตัวเรา จิตของเรา กายสังขารที่ไม่ดีของเรา การถอนวาจา การขออโหสิเวร ขออโหสิกรรมทุกสิ่งทุกอย่างของตัวเรา การสวดมนต์ธัมมะจักร ยอดพระกัณฐ์ไตร ก็เป็นกุศลผลบุญที่เข้าทางวาจาเรา จิตเรา การสวดมนต์เราอุทิศได้หมด ให้ได้ทุกอย่างเหมือนการฟังธรรม เราฟังพร้อมๆ กันหลายๆ คน ไม่จำกัดจำนวนเราให้ได้หมด เราฟังได้หมด
เราเกิดมาหลายหมื่นวันของแต่ละวันที่เกิดมา เราผูกเชือกวันละปม ถึงเวลาแก้เชือก เราก็ต้องใช้เวลา แก้เวรแก้กรรมก็ไม่ต่างกันกับปมเชือกที่ผูกไว้มัดไว้ แก้ในวันเดียวครั้งเดียวคงเป็นไปไม่ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น