วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2554

บทเรียนธรรมะ

๖. หูทิพย์ ตาทิพย์

ถ้าถามว่า การมี หูทิพย์ ตาทิพย์ เป็นอย่างไร ตัวดิฉันเองก็จะตอบว่า “การได้ยินได้เห็นเรื่องพิเศษ ที่คนธรรมดาไม่สามารถรับรู้ได้จากการเห็นทางตาและการได้ยินทางหู” สำหรับคุณฉัตรแก้วตอบว่า “ตาทิพย์คือความสามารถในการมองทะลุ ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกล ส่วนการมีหูทิพย์ก็คือความสามารถในการได้ยินไม่ว่าจะพูดด้วยระดับเสียงใดก็ตาม”
ที่จริงอาจารย์อธิบายว่า “การมีตาทิพย์คือการที่เราสามารถมองเห็นสิ่งที่เป็นจริง ยอมรับว่าสิ่งนั้นเป็นกรรมเป็นเวรของแต่ละบุคคล ถ้าสามารถช่วยเหลือได้ก็จะให้การช่วยเหลือที่เป็นเสมือนลมที่ทำให้เย็นเท่านั้น แต่จะไม่เก็บมาทำให้จิตของเราเป็นทุกข์ เศร้าหมองไปกับเขาด้วย ในทำนองเดียวกันการมีหูทิพย์ก็หมายถึงการฟังอย่างมีสติ เลือกรับฟังในสิ่งที่ไม่เป็นทุกข์ แต่ถ้าต้องฟังในสิ่งที่ไม่ดี เป็นทุกข์ อย่างเช่นมีคนมาด่า มาแช่ง ก็ให้ฟัง และคิดว่ามันเป็นกรรมเป็นเวรของจิตของคนที่พูดเอง” อาจารย์ถามพวกเราว่า “คนที่กำลังพูดด่าทอหรือสาปแช่งคนอื่นจิตใจเขาเป็นเช่นไร หน้าตาเขาสะสวย หล่อเหลาไหม เสื้อผ้าสวยๆของเขาที่ใส่อยู่ยังจะสวยอยู่อีกไหม จิตใจเขาใสหรือว่าเป็นทุกข์เป็นกังวล” อาจารย์บอกว่า “นั่นก็คือเวรของจิตอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของเขา” เมื่อรู้ดังนี้แล้วหลวงพ่อถามว่า “เราจะไปต่อปากต่อคำ ทำให้ใจของเราหม่นหมองเป็นทุกข์อย่างเขาละหรือ ถ้าเราไปทำดังนั้นสภาพเราจะยิ่งน่าเกลียดกว่าเขาอีก การได้ยินและปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่ยอมเก็บความทุกข์เหล่านั้นมาเกาะไว้ที่ใจเรา เรียกว่าการมีหูทิพย์”
ตอนฟังอาจารย์เทศน์ดิฉันก็คิดตามไปด้วยว่า ถ้ามีคนมาว่าเราแล้วเราทำเป็นนิ่งเฉยเขาน่าจะได้ใจมากขึ้น คิดว่าเราหงอ กลัวเขา และยิ่งได้ใจพูดว่าเราไม่เลิก แต่เหมือนอาจารย์จะจับความนึกคิดของดิฉันได้ อาจารย์สอนต่อว่า “ถ้าเราแผ่บุญกุศล แผ่เมตตาให้เขา จิตใจเขาก็จะคลายความทุกข์ลง แล้วเขาก็จะเลิกด่าทอ นี่ก็เป็นการช่วยเขาด้วยนะ” อาจารย์ยังบอกอีกว่า “ถ้าเราสามารถ แผ่บุญกุศล แผ่เมตตาให้คนที่เขาว่าเราได้นี่ ก็ถือว่าเป็นการทำบุญให้จิตของเราเหมือนกัน ถ้าเราทำได้ดังนั้นจิตเราก็จะสบาย ไม่ขุ่นมัว จิตเขาก็จะคลายความทุกข์ ความโกรธ”
ตอนขับรถกลับบ้านดิฉันคุยกับคุณฉัตรแก้วว่า “พ่อดิฉันต้องได้รับการสั่งสอนในเรื่องหูทิพย์ ตาทิพย์ มาพอสมควร เพราะตั้งแต่จำความได้คุณตาจะสอนดิฉันเสมอว่า เวลาคุณยายบ่น หรือดุด่า ถ้าคุณยายนั่ง ให้พวกเรายืน คำของคุณยายก็จะลอดขาเราไป แต่ถ้าคุณยายยืน ให้พวกเราพากันนั่ง คำดุด่าเหล่านั้นก็จะข้ามหัวเราไป” เพราะฉะนั้นตอนเป็นเด็กดิฉันจะไม่เคยเห็นคุณตาเป็นเดือดเป็นร้อนกับคำค่อนแคะของคุณยาย แต่การกระทำของคุณตากลับทำให้คนที่อยู่รอบข้างมองว่า คุณตากลัว หงอ คุณยาย แต่เดี๋ยวนี้คุณตาไม่ยอมคุณยายเหมือนแต่ก่อน พอคุณยายเริ่มบ่นบางครั้งคุณตาก็บ่นตอบเหมือนกัน ดิฉันคิดว่าความเปลี่ยนแปลงนี้น่าจะเป็นเพราะคนเราพออายุมากขึ้น ความอดทนจะน้อยลง ความน้อยใจเสียใจจะมีมากขึ้นนั่นเอง แต่ถ้าคุณตาต้องการจะมีหูทิพย์ ตาทิพย์เหมือนเดิม คุณตาต้องแก้โดยการใส่บาตรหรือสวดมนต์แล้วอุทิศผลบุญกุศลให้คุณยายเลิกบ่นในเรื่องที่ทำให้ใจคนฟังขุ่นมัวอีกด้วย (ดิฉันแนะนำตามที่ได้ฟังอาจารย์เทศน์มา มิได้คิดขึ้นมาเอง)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น