วันอาทิตย์ที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๔๙ (สวดคืนที่ ๒)
วันแรกที่ไปงานศพของพี่ First คุณฉัตรแก้วและดิฉันไม่ใส่ชุดดำ เราใส่ tone สีอ่อนๆเกือบขาว หรือเข้มเกือบดำ เมื่อไปถึงศาลาตั้งศพพบญาติพี่น้องทั้งฝ่ายคุณฉัตรแก้วและฝ่ายดิฉัน รวมทั้งเพื่อนๆ ของคุณฉัตรแก้ว engineers และเจ้าหน้าที่จากบริษัทไทยซัมมิทที่มาช่วยงาน ดิฉันไหว้และรับไหว้ คนเหล่านั้น และสุดท้ายก็ไปหาคุณยายร้องไห้และกอดคุณยายไว้ พอตั้งสติได้ก็เข้าไปไหว้พระ ไหว้ศพลูก เห็นรูปลูกที่ตั้งอยู่หน้าศพ ดูหน้าตาเศร้าสร้อยดิฉันก็พูดกับรูปว่า “ พี่ First ขับรถอย่างไรลูก ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ พี่ First ไม่ได้ทำตามที่สัญญาไว้กับแม่หรือ พี่ First ไม่รักพ่อกับแม่หรือไร”
ตอนบ่ายโมงพวกเรานิมนต์หลวงตาไปนำจิตวิญญาณ พี่ First จากที่เกิดเหตุกลับมาที่วัด เราไปที่อู่ที่ลากรถมาเก็บไว้ เห็นสภาพรถแล้วก็เวทนาลูกจริงๆ รถพังทั้งคันไม่มีทีท่าจะซ่อมได้เลย ด้านหน้าหักยุบ ประตูพังทั้ง ๔ บานโดยเฉพาะด้านฝั่งคนขับเพราะรถเสียหลักคว่ำและเข้าไปอัดกับเสาไฟฟ้าแรงสูง จนทำให้เสาไฟต้นใหญ่ๆ ขาด ๒ ท่อน กระจกด้านหน้าแตกละเอียดมีรอยเลือดติดกรัง ที่เหลืออีก ๓ บานแตกหมดไม่มีเหลือ ด้านท้ายของรถเป็นส่วนเดียวที่ไม่เป็นอะไร ในห้องโดยสารถ้าพิจารณาดีๆจะเห็นว่ายังดี พ่อ First บอกว่า ระบบ safety ของรถดีมาก ถ้าคาด safety belt ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก เพราะ safety belt จะยึดตัวเอาไว้ หัวจะไม่กระแทกกับกระจก และตัวจะไม่กระเด็นออกนอกรถจนถูกรถทับ ส่วนพวงมาลัยก็จะล็อกตัวอัตโนมัติ ทำให้พื้นที่ห้องโดยสารเพิ่มขึ้น ตัวคนขับก็จะไม่กระแทกกับพวงมาลัย และ airbag ก็ยังทำงานตามปกติ
หลวงตาให้เราจุดธูปเทียนและเริ่มสวดมนต์เพื่อนำจิตวิญญาณพี่ First กลับไปด้วยกัน เสร็จพิธีที่อู่รถแล้ว พวกเราขับรถไปทำพิธี ณ ที่เกิดเหตุ คือเสาไฟฟ้าบนถนนบางนา ตราด กม ๒๖ พ่อศักดิ์จัดแจงตั้งข้าวปลาอาหารให้พี่ First ตรงนั้น พ่อจุดธูป เทียน และหลวงตาก็เริ่มสวดมนต์เรียกจิตวิญญาณพี่ First มากินข้าว หลวงตารอให้ พี่ First กินข้าวสักพักและก็เริ่มสวดอีกครั้ง หลังจากแบ่งข้าวปลาอาหารที่เหลือให้จิตวิญญาณสัมพเวสีแถวนั้น และหลวงตาก็นำจิตวิญญาณพี่ First กลับวัด
ขณะที่นั่งฟังพระสวดตอนกลางคืนดิฉันนั่งมองหน้าลูกในรูปตลอด เห็นใบหน้าเศร้าสร้อย น้ำตาคลอ ก็ให้สงสารลูกจับใจ พอเสร็จพิธีแขกที่มาร่วมงานเริ่มทยอยกลับ ปุ้ม(น้องชายดิฉัน)พร้อมครอบครัวเดินมาลากลับเล่าให้ฟังว่า “น้อง Great (ลูกชายคนเล็ก อายุสองขวบครึ่ง) บอกว่า “เห็นพี่หล่อๆใส่เสื้อสีขาว ผูกไทด์แดง ที่อยู่ในรูปนั่งอยู่บนโน้น” น้อง Great บอกว่า “พี่เขายิ้มให้” ดิฉันเลยถามว่า “น้อง Great ลองมองดูดีๆอีกทีซิว่าตอนนี้พี่เขาอยู่ตรงไหน” น้องGreat กวาดตาไปรอบๆห้องแล้วบอกว่า “ไม่เห็นแล้ว”
ก่อนกลับดิฉันจุดธูปบอกลูก ศาลาวัดถูกปิดลงดิฉันมองเข้าไปในศาลาเห็นแสงไฟที่ส่องมาที่รูปลูก เห็นหน้าลูกให้นึกสงสารว่าจะต้องถูกทิ้งให้อยู่ที่นี่คนเดียว จึงบอกลูกว่า “มา พี่ First กลับบ้านกับพ่อแม่กันเถอะ” แล้วเราก็เดินไปขึ้นรถ พอขับรถไปสักพักดิฉันรู้สึกเหมือนมีใครมาจับเบาะหลังที่ดิฉันนั่ง เหมือนกำลังนั่งให้เข้าที่เข้าทาง ดิฉันจึงพูดขึ้นว่า “First หรือลูก มา กลับบ้านกันนะ” พ่อ First ขับรถอยู่ได้ยินบอก “ขนลุก” พอถึงบ้านดิฉันก็ยกมือไหว้ท่านเจ้าที่เจ้าทาง ขอให้พี่ First เข้าบ้านด้วย ที่บ้านตอนนี้ยังคึกคักเพราะญาติพี่น้องที่มาช่วยงานยังอยู่กันครบ เราสองคนรู้สึกอบอุ่น ไม่เหงา
วันจันทร์ที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๔๙ (สวดคืนที่ ๓)
วันนี้ฉันรู้สึกตัวตื่นประมาณ ตี ๔ เพราะถ้าเป็นที่ Melbourne ก็เกือบสามโมงเช้า แต่ก็ได้หลับเต็มอิ่ม ตื่นแล้วก็ตาสว่าง เริ่มคิดฟุ้งซ่านถึงลูกอีก เลยลุกมานั่งเขียน ประวัติ และ คำอาลัยให้ลูกตามที่คุณพวงเพชรแนะนำ เขียนไปก็ร้องไห้ไป ช่วงไหน ตอนไหน ที่บีบหัวใจมากๆ ก็ต้องปล่อยโฮ ออกมาดังๆ เขียนได้สักพักคุณฉัตรแก้วก็ลุกขึ้นมาช่วยเขียนด้วย สภาพเราสองคนไม่ต่างกัน เขียนไปร้องไห้ไป กว่าจะเสร็จ draft ก็ ๖ โมงเช้าเกือบ ๗ โมง เราช่วยกันเกลาให้สละสลวยอีกครั้ง ครั้งนี้กว่าจะเสร็จเกือบ ๑๐ โมงเช้า แต่ผลงานที่ได้ก็ได้อย่างที่เราอยากจะเขียน อยากจะเล่า ดิฉันบอกคุณฉัตรแก้วว่าคนที่จะอ่านให้เราต้องเข้าใจเรา ๒ คนด้วย เพราะเราถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดของเราที่มีต่อลูกออกไป คุณฉัตรแก้วว่าจะให้คุณสมชายช่วยอ่านประวัติพี่ First และให้คุณพวงเพชรช่วยอ่านอาลัยจากแม่ ดิฉันก็เห็นดีด้วย ตอนเย็นคุณฉัตรแก้วก็คุยกับคุณสมชายและคุณพวงเพชร คุณพวงเพชรเริ่มซ้อมอ่าน อ่านไปก็ร้องไห้ไป ดิฉันก็ได้ร้องไห้กับคุณพวงเพชรอีกรอบ
ราว ๑๑ โมงพ่อพงษ์ พาเราไปทำเรื่องแจ้งการเสียชีวิตที่สำนักงานอำเภอลำลูกกาแต่เจ้าหน้าที่บอกว่าต้องไปแจ้งที่อำเภอที่เกิดเหตุ ยุทธขับรถพาเราไปที่สำนักงานกิ่งอำเภอบางเสาธง ติดต่อครั้งแรกยังทำอะไรไม่ได้เพราะขาดหลักฐาน(บันทึกประจำวัน)จากตำรวจ เราไปที่สถานีตำรวจซึ่งก็อยู่ใกล้ๆ รอไม่นานก็ได้เอกสารที่ต้องการ ขณะรอตำรวจคุยให้ฟังว่า “สะพานตรงนั้นเกิดอุบัติเหตุบ่อย เพราะถนนบางนาตราดมีการปรับปรุงอยู่บ่อยๆและข้อต่อสะพานตรงนั้นทำไม่ดีทำให้รถเหิน”
ตอนนี้เรามีหลักฐานครบแล้ว (หนังสือจากนิติเวช บันทึกประจำวันของตำรวจและเอกสารส่วนตัวอื่นๆ) ดิฉันอ่านเอกสารเหล่านั้นพบว่าสาเหตุของการเสียชีวิตของลูกคือ รถเสียหลักพลิกคว่ำชนอัดเสาไฟฟ้า ทำให้ฐานกะโหลกศีรษะแตก เลือดออกใต้เยื่อหุ้มสองชั้นใน สมองช้ำจากศีรษะกระทบกระแทก และเสียชีวิต ณ ที่เกิดเหตุ ดิฉันนึกต่อว่าถ้าเป็นจริงอย่างที่เขาพูดกันว่า “คนเราตอนจะตายจะมีคนมารับจิตวิญญาณ คนที่มารับจิตวิญญาณพี่ First ช่างตั้งใจมารับจริงๆ ไม่เปิดโอกาสให้พ่อแม่ได้รักษาเยียวยาเลย ถึงพ่อแม่มีเงินสักเท่าไรก็ไม่สามารถดึงลูกเอาไว้ได้” และก็คิดต่ออีกว่า การตายในลักษณะนี้ผู้ตายน่าจะไม่ได้รับความทรมานเลย เพราะตอนที่เราไปเยี่ยม Beer (เพื่อนที่นั่งรถไปด้วยกัน) ที่โรงพยาบาล Beer เล่าว่า “ตอนแรกก็วูบไปเลยไม่รู้สึกอะไร แต่พอรู้สึกตัวอีกทีมันปวด มันจุกปวดมากๆ” ดิฉันก็เลยสรุปว่าพี่ First คงจะวูบไปเช่นกัน แต่ลูกไม่ได้ตื่นขึ้นมารับรู้ความเจ็บปวด ก็น่าจะดีสำหรับลูกแล้ว นอกจาก Beer แล้วเราได้แวะไปเยี่ยมเพื่อนผู้หญิงอีกคนที่นั่งรถมาด้วยกันชื่อหวาย หวายนั่งด้านหน้ากับเพื่อนผู้หญิงอีกคนหนึ่งชื่อน้ำหวาน หวายแขนหัก ตอนนี้อาการดีขึ้นตามลำดับ น้ำหวานขาหักและย้ายไปอยู่โรงพยาบาลอื่น คุณแม่น้องหวายเล่าว่า น้องยังไม่รู้ว่า First เสียชีวิต คุณแม่ไม่กล้าเล่าให้ฟังกลัวว่าจะทำใจไม่ได้ เพราะเด็กกลุ่มนี้เขารักกันมาก คุณแม่ยังพูดต่อว่าดูจากสภาพรถแล้วถ้าเป็นรถญี่ปุ่นคิดว่าคงตายกันหมดทั้ง ๖ คน คุณพ่อ Beer ก็พูดอย่างนี้เช่นกัน ก่อนกลับเรา ๒ คนได้คุยกับหวาย หวายถามถึง First เราบอกว่า “First เป็นคนขับเป็นมากกว่าหนู และก็ขอให้หนูหายไวไว”
วันนี้หวยออก ๗๙ คนถูกหวยกันเยอะตั้งแต่เด็ก ABAC ญาติพี่น้องเด็กที่เจ็บ คนทำงานที่บริษัทไทยซัมมิทฯ รวมถึงญาติพี่น้องทั้งฝั่งดิฉันและฝั่งคุณฉัตรแก้ว ขณะที่นั่งรถกลับวัดเราคุยกันว่าพี่ First ให้โชคกับทุกๆคนที่มีโชค คุณฉัตรแก้วโทรหาเพื่อน หาญาติ ถามว่าถูกเท่าไร พี่แหม่มของพี่ First เล่าว่า ซื้อตามทะเบียนรถ ๖๙๙๗ ซื้อเลขท้าย ๒ ตัว ทั้ง ๙๗ และ ๗๙ แต่ไม่ได้เช็คให้ดี แทนที่เขาจะเขียนให้ ๗๙ กลับไปเขียนเป็น ๗๗ แทนซะฉิบ ดิฉันบ่นกับคุณฉัตรแก้วว่า “อย่างนี้พี่ First ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรเหมือนกันนะพ่อ” แล้วเราก็หัวเราะด้วยกัน ดิฉันพูดต่อว่า “พรุ่งนี้พี่ First พุงกางแน่ๆ เพราะคนถูกกันเยอะ”
คืนนี้คนมางานเยอะมากเพราะ Thai Summit Group เป็นเจ้าภาพ พระสวด ๒ รอบ อาจารย์แผนกภาษาอังกฤษ ดร.สุนทร (อาจ่อย) ของพี่ First และ อาทิพย์ ก็มาฟังพระสวดให้พี่ First ด้วย ทุกคนน้ำตาคลอ ไม่ว่าจะเป็น ป้าตุ่น อาตู๋ อาติ๋ว อานุช อาทิพย์ ส่วน ป้าสุมล กับ อาแต๋ม ร้องไห้มากกว่าคนอื่นๆ อาจ่อยน้ำตาซึมๆ ก็จะให้ทำอย่างไรเนาะ ก็อาจ่อยเป็นผู้ชายคนเดียวที่มากับทีมนี้ ต้องทำให้ดูเข้มแข็งกว่าเขาหน่อยละมัง? ท่านรองประธานของ Thai Summit Group (คุณชนาพรรณ คุณธนาธร และคุณชาญณรงค์) กรุณาให้เกียรติมาร่วมพิธีสวดในคืนนี้ด้วย
คืนนี้ก่อนกลับบ้านปุ้ม(น้องชายดิฉัน) เล่าให้ฟังต่อจากเมื่อวานว่า “น้องGreat บอกว่า พี่หล่อๆใส่เสื้อสีขาว ผูกไทด์แดง บอกว่าให้ซื้อ ๗๙” ปุ้มให้น้อง Great หยิบลอตเตอรี่ให้ ๑ ใบ เขาก็หยิบได้ ๗๙
กลับบ้านคืนนี้ก็ยังอบอุ่นเหมือนเดิม พวกเรายังคุยกันเรื่องโชคที่พี่ First ให้ และเรื่องน้อง Great
วันอังคารที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๔๙ (สวดคืนที่ ๔)
เมื่อคืนก็หลับเป็นตายอีกมารู้สึกตัวตื่นก็เช้าเลย พี่ๆน้องๆยังอยู่กันครบเหมือนเดิม พ่อFirst ยังวุ่นวายกับการแก้ไขต้นฉบับประวัติและคำอาลัยลูก ส่วนญาติๆมีเรื่องตื่นเต้นรอเล่าให้เราสองคนฟัง
พวกเขาเล่าว่า “เมื่อคืนราวตี ๒ ตี ๓ พี่ First มาเขย่าประตูเหมือนจะเข้าบ้าน เขย่าดังมาก ทุกคนรู้สึกตัวหมดแต่ก็นิ่งเงียบ เมื่อเปิดประตูไม่ได้ก็เปลี่ยนมาเคาะกระจกหน้าต่าง สักพักก็ย้อนกลับไปเขย่าประตูอีกแต่คราวนี้เบาลงกว่าครั้งแรก อายุคลุมโปงจับมือป้าแตวเอาไว้ คุณย่าจึงบอกกับพี่ First ว่า “First เอ๊ย First ไปสบายแล้วไม่ต้องมาห่วงทางนี้นะลูก” หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงอะไรอีกเลย”
คุณย่ากับป้าแดงเล่าเรื่องแปลกๆที่เกิดขึ้นขณะฟังพระสวดเมื่อคืนให้ฟังอีกว่า “ตอนพระเริ่มสวดมนต์ พวกเขาที่นั่งฟังพระอยู่ด้านหน้าเห็นจิ้งจกตัวขาววิ่งลิ่วลงมาจากโลงศพด้านบน วิ่งตรงดิ่งผ่านหน้าพวกเขาไปและไปหยุดลังเลด้านที่ดิฉันกับพ่อ First นั่งอยู่ คุณย่ากล่าวขึ้นว่า “พี่ First มาฟังพระสวดด้วยกัน” ทันใดนั้นเจ้าจิ้งจกก็วิ่งกลับมา ผ่านหน้าพวกเขาและเลี้ยวไปนั่งข้างๆมรรคทายกที่กำลังทำพิธีรับศีลอยู่ แล้วเจ้าจิ้งจกน้อยก็ไต่ไปบนขาของมรรคทายกคนนั้นและนั่งนิ่งอยู่กับเขาอย่างนั้นจนพระสวดเสร็จ จึงค่อยๆไต่ลงจากขาของเขาและวิ่งกลับขึ้นไปทางเก่า”
หลังจากฟังเรื่องแปลกๆแล้ว ดิฉัน ป้าแดง และพี่กิ่งของพี่ First พากันออกไปซื้อของเพื่อเตรียมทำสังฆทานให้ในวันเผาพรุ่งนี้ ดิฉันเลือกซื้อของที่รู้ว่าลูกชอบทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ผ้าขนหนู สบู่เหลว ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก ครีมทาผิว แป้งกลิ่นหอมๆที่ลูกชอบ รวมถึง roll-on ก็เขาเป็นนกหงส์หยกอย่างที่เล่าให้ฟังไง แม่จึงต้องพิถีพิถันมากในเรื่องพวกนี้ นอกจากเครื่องหอมหอมแล้วแม่ก็ไม่ลืมจะหาเครื่อง จาน ชาม แก้ว ช้อน ให้ด้วย พ่อบอกให้ซื้อรองเท้าผ้าใบหล่อๆให้ลูกด้วย แม่ได้เด็กหนุ่มคนขายที่ Lotus ช่วยเลือกขนาดให้อย่างพอเหมาะพอเจาะ
คืนนี้อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มรม. ราชมงคล ธัญบุรี (ตุ๊ก จุ๋ม เตี้ย แอ๊ด น้อย อารีย์ แก้ว และ ดร.ปาริชาติ) มาร่วมฟังพระสวดและให้กำลังใจ ท่านคณบดี ผศ.สุมานนิการ์และพี่ตุ้มก็ฝากกำลังใจมาให้ด้วย บอกว่าพรุ่งนี้ป้าแป๋วจะมา บอกอีกว่าถ้าเหงาก็เข้าไปคุยกันที่คณะ
สุธี กับ นิ ก็มาฟังพระด้วย เด็กสองคนเป็นเพื่อนพี่ First ตอนอยู่มัธยมปลายที่โรงเรียนกัลยาฯ เด็กพวกนี้รักกันมาก สุธีมาแอบนั่งร้องไห้อยู่ด้านนอกศาลา แม่ออกมาทำธุระเห็นเข้าเลยเข้าไปนั่งคุยด้วย สุธีบ่นพึมพำว่า “ทำไมต้องเป็น First” แม่ร้องไห้ สงสารทั้งพี่ First และสุธี แม่ปลอบใจสุธีว่า “เขาหมดกรรมแล้วลูก เขาไปดีไม่ทรมาน พวกเราที่ยังอยู่นี่ซิยังมีกรรม ต้องอยู่ใช้กรรมให้หมด”
น้อง Fourth พาเพื่อนที่พระจอมเกล้า (น่าจะหมดทั้งห้อง) มาร่วมฟังพระสวด แพรวและเพื่อนมาร่วมงานตั้งแต่เมื่อคืนและให้ค้างที่บ้านอาวิโรจน์กับอาภา
วันนี้พี่แดงบอกดิฉันว่า “พรุ่งนี้วันเผาอย่าชวนลูกกลับบ้าน เพราะจะทำให้วิญญาณเขาเป็นห่วงไม่ไปไหน และพยายามอย่าร้องไห้ให้ลูกเห็น” ฟังแล้วข้อแรกก็ไม่น่าจะมีปัญหา แต่ข้อหลังนี้ดิฉันจะทำได้ไหมก็ยังไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน ก่อนกลับดิฉันจุดธูปบอกพี่ First ว่าคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่พี่ First จะได้อยู่กับพวกเรา พรุ่งนี้ต้องเดินทางไกลเพราะฉะนั้นคืนนี้ต้องพักผ่อน พรุ่งนี้พ่อกับแม่จะพาน้อง Fourth มาบวชให้แต่เช้า แล้วแม่จะมาปลุก
กลับบ้านคืนนี้ก็ยังอบอุ่นเหมือนเดิม แต่เริ่มเงียบๆและเริ่มเกาะกันเป็นกลุ่ม หลังจากที่เล่าเรื่องแปลกๆของพี่ First สู่กันฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่พี่ First ไปส่งพี่แหม่มกับน้องอังเปาที่บ้าน หรือไปยืนส่งน้องมุกกี้ตอนเดินไปขึ้นรถกลับบ้านหลังจากฟังพระสวดในคืนแรก ไปหยอกพี่เปรี้ยวตอนขับรถไปรับเพื่อน รวมถึงไปปรากฏตัวให้ตาชัยเห็นที่บ้านขอนแก่นตอนรุ่งสางของเช้าวันจันทร์ที่ ๑๖ ที่ผ่านมา
วันพุธที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๔๙ (วันเผาส่งสังขารลูก)
เมื่อคืนก็หลับเหมือนเดิม ตื่นแต่เช้าเพราะนัดพระบวชเณร ๔ องค์ (เณร Fourth เณร Fluke ๒ องค์ และเณร Good) ตอนตี ๕ ขณะรอท่านเจ้าอาวาสมาทำพิธี พวกเราเดินไปหาพี่ First ที่ศาลา จุดธูปเทียนให้ ดิฉันปลุกลูกให้ตื่นเตรียมเนื้อเตรียมตัวให้เรียบร้อย น้องๆกำลังจะบวชให้เช้านี้ วันนี้ให้นั่งฟังพระอยู่ข้างๆแม่อย่าไปทางไหน ฟังให้ดีๆท่านจะพาไปยังที่ที่มีแต่ความสุข
บวชเณรแล้วดิฉันก็ฝากเณรทั้ง ๔ ไว้กับพระที่วัด เราสองคนกลับบ้านมาเตรียมตัวสำหรับงานวันนี้ซึ่งจะมี เลี้ยงพระเพล สวดพระอภิธรรม และพิธีอื่นๆจนถึงพิธีเผาในเวลา ๔ โมงเย็น ส่วนปุ้ม กุ้ง คุณยาย ปลา (คุณแม่น้อง Fluke) และน้องGreat รอกันอยู่ที่วัด
ก่อนพิธีเลี้ยงพระเพลเพื่อน First จากขอนแก่นก็มาถึง มี Top ขุน กฤษณ์ สุธี นิ และอีกหลายคนแม่จำไม่หมด เพื่อนๆที่ ABAC ก็ทยอยกันมาเรื่อยๆ คุณพวงเพชร พ่อศักดิ์ คุณสมชาย พ่อหมี และพ่อพงษ์ ก็เริ่มซักซ้อมขั้นตอนกัน คุณคำแดงก็ดูแลเรื่องอาหารการกินและสถานที่อย่างเข้มแข็งเหมือนเดิม หนุ่มๆสาวๆ Thai Summit รวมถึงป้าอ๊อด ก็ยังช่วย ต้อนรับแขก เสริฟน้ำ เตรียมเหรียญเงินตอนเผา และงานจิปาถะ อย่างเหนียวแน่น
แขกเริ่มทยอยมาเรื่อยๆไม่ขาดสาย คุณ Anderson ก็มากับคุณอภิชัย ของ Destaco ดิฉันได้คุยกับเขานิดเดียวเพราะต้องทำพิธีถวายสังฆทานและตั้งใจพาพี่ First ฟังพระเทศน์ ขณะที่พระเทศน์ใกล้จบ เขาก็เริ่มขนของของพี่ First ไปเมรุ พอเทศน์จบเราก็เริ่มตั้งแถวเพื่อนำศพไปยังเมรุพิธี พ่อ First เดินถือกระถางธูปนำหน้า ดิฉันเดินอุ้มรูปลูกตามมา หลังจากนั้นก็ไม่แน่ใจว่าใครตามมาเป็นลำดับต่อไปแน่ๆ คิดว่าน่าจะเป็นพระ เณร พี่ First และญาติพี่น้องเพื่อนฝูง เราเดินวนรอบเมรุ ๓ รอบ ดิฉันเดินร้องไห้กอดรูปลูกไปตลอดทาง แต่ก็ไม่ลืมที่จะเตือนลูกให้สงบและตั้งใจฟังพระท่านสวดนำทางให้ดี
ครบ ๓ รอบแล้วก็พาพี่ First ขึ้นข้างบนเมรุ พ่อ First ยังคงดูแลความเรียบร้อย ความสวยงามทุกๆอย่างเพื่อพี่ First เช่นเดิม พอพวกเราเดินลงมาจากข้างบนก็เริ่มพิธีเผาบ้านกระดาษที่เพียบพร้อมไปด้วยเครื่องใช้ไม้สอยและข้าทาสบริวารที่พี่ลูกน้ำตั้งใจเลือกซื้อมาให้พี่ First จากเมืองชลบุรี ดิฉันยืนดูอยู่กับเพื่อนABAC ของ First น้าปุ้มตามมายืนข้างๆ คุณยายบอกว่า “น้าปุ้มกลัวดิฉันจะเป็นลมเลยคอยอยู่ข้างๆ” เราเขียนชื่อผู้รับ คือนายศรัณย์ ฮาตระวัง และผู้ส่งคือ พ่อฉัตรแก้วและแม่พรพิมล ฮาตระวัง คุณฉัตรแก้วเริ่มจุดไฟเผาบ้านกระดาษ พิธีการเปิดเพลงบรรเลง classic ของคุณพวงเพชรไพเราะมาก ฟังแล้วเย็นใจ มีความสุขไม่เศร้าสร้อย พอสิ่งของไหม้เริ่มจะหมด ลมก็วูบแรงขึ้น คนที่ยืนอยู่รอบๆร้องฮือ น้าปุ้มบอกดิฉันว่า “เขามารับเอาไปแล้ว” ดิฉันเริ่มร้องไห้น้าปุ้มเตือนสติอีกว่า “อย่าร้องไห้ให้ลูกเห็นเขาจะเป็นกังวล”
หลังจากนั้นดิฉันก็เดินไปสวัสดีป้าแป๋ว ลุงทนงและก็นั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้น ป้าแป๋วปลอบใจและบอกว่า “ร้องซะ ร้องให้พอ คิดว่าเขาไปสบายแล้ว” พิธีการเริ่มขึ้นอีกครั้ง คุณฉัตรแก้วและดิฉัน คุณย่าคำผาย และคุณยายชลอขึ้นถวายผ้าบังสุกุล พิธีกรผู้ดำเนินการ (คุณอาสมชายของพี่ First) แนะนำผู้อ่านประวัติพี่ First (พ่อศักดิ์ของพี่ First) พ่อศักดิ์เริ่มอ่านประวัติของลูกที่เราสองคนช่วยกันเรียบเรียง ขณะที่ฟังพ่อศักดิ์อ่านแขกที่มาร่วมงานบางคนถึงกับเผลอหัวเราะในความรู้จักพูด รู้จักเอาตัวรอดของพี่ First เสร็จจากพ่อศักดิ์ พิธีกรก็แนะนำผู้อ่านคำอาลัยจากแม่ (คุณอาพวงเพชรของพี่ First) คุณอาพวงเพชรเริ่มอ่าน แขกที่มา ฟังกันเงียบทราบภายหลังว่าบางคนก็น้ำตาซึม บางคนก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ คุณอาคนอ่านเองก็ยังเสียงเครือเวลาอ่าน (จะไม่เครือได้อย่างไรก็เรารู้จักกัน ผูกพันกันมาตั้งแต่ลูกของเราอายุแค่ ๙-๑๐ ขวบ) หลังจากนั้นท่านประธานในพิธี ท่านประธาน ดร.สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานของ Thai Summit Group เป็นเกียรติทอดผ้ามหาบังสุกุลให้ และเวลาที่ดิฉันเฝ้ารอก็มาถึง เขาเปิดโลงเพื่อเอาลูกใส่เมรุเผา เราสองคนขึ้นไปดู ดิฉันมองลูกอย่างพิจารณาเป็นครั้งสุดท้าย ดูแล้วก็สรุปว่าไม่ใช่พี่ First ลูกของดิฉัน จึงบอกคุณฉัตรแก้วว่า “ไปเถอะพ่อ ไม่ใช่พี่ First ลูกเราหรอก” เราสองคนเดินหันหลังลงจากเมรุ แต่ในใจฉันก็พูดตลอดว่า “ขอให้เขาไปดี ให้เขาฟังพระสวด ฟังพระนำทาง มองขึ้นไปสูงๆ ไม่ต้องหันมามองพวกเรา ไม่ต้องเป็นกังกล เขาหมดเวรหมดกรรมแล้วให้ไปก่อน พวกเราข้างล่างถึงเวลาก็จะตามไปเช่นกัน ขอให้ไปสู่ภพภูมิที่ดี ที่มีความสุขนะครับ” ดิฉันไม่ได้ร้องไห้อีกเลยจนเสร็จงาน
ขณะที่ไฟกำลังเผาสังขารของลูก ดิฉันยืนมองควันสีเทาอ่อนๆที่ค่อยๆลอยขึ้นไปบนฟ้า พลันเราก็เห็นเครื่องบินบินอยู่ตรงกับทิศทางที่ควันลอยขึ้นไป น้อง Great คนเก่งกระโดดโลดเต้น ชี้ขึ้นไปบนฟ้า ตะโกนว่า เครื่องบิน เครื่องบิน พวกเราหันไปมองตามที่น้อง Great บอก หลายคนรวมทั้งเราสองคนก็พูดขึ้นว่า พี่ First ไปเมืองนอกแล้ว
เสร็จจากงานเณร Fourth เณรFluke (๒ องค์) และ เณรGood ก็สึก น้อง Fourth ขอกลับไปพร้อมเพื่อนเพราะพรุ่งนี้มีเรียน เพื่อนพี่ First ทั้งจากโรงเรียนกัลยา และ ABAC ก็มาลากลับ พ่อช่วยเงินค่ารถกลับขอนแก่นให้เด็กๆด้วย แขกผู้ใหญ่ เพื่อนฝูง ญาติมิตร รวมทั้งหนุ่มสาวชาว TSA ต่างพากันทยอยกลับ แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังอยู่ช่วยงานสวดเย็นนี้และงานทำบุญเช้าพรุ่งนี้
สวดมนต์เย็นวันนี้มีพระ ๙ รูป รูปพี่ First ตั้งอยู่ข้างพระพุทธรูปเหมือนจะขอฝากตัวให้ช่วยคุ้มครองด้วย ขณะฟังพระสวดดิฉันมีความรู้สึกถึงอานุภาพของการสวดมนต์ได้และรู้สึกว่าสิ่งดีๆต้องบังเกิดขึ้นกับพี่ First และพวกเราแน่นอน เสร็จพิธีพวกเรา (เพื่อนที่เป็นเสมือนญาติ) ก็อยู่กินข้าวเป็นเพื่อนเราจนดึกจึงทยอยกลับ บ้านเริ่มเงียบเพราะพี่น้องกลับกันเกือบหมดเหลือคุณย่ากับพี่แดง
วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๔๙ (วันเก็บกระดูกลูกและเลี้ยงพระเช้า)
เราตื่นแต่เช้าเพราะนัดพี่ใหญ่ (มรรคทายก)ไปเก็บกระดูกลูกที่วัดตอน ๖ โมงเช้า เราเตรียมเงินไป ๓๒ บาท ดอกกุหลาบ น้ำอบไทย ส่วนผ้าขาวและโกฏิเตรียมไว้ที่วัดแล้ว เราไปกัน ๔ คน มีคุณฉัตรแก้ว คุณยาย น้าแกะ และดิฉัน นัดพบคุณหนวด และพี่พงษ์ ที่วัด ขณะที่นั่งรถไปดิฉันก็นั่งดึงกลีบกุหลาบออกจากดอกพอถึงวัดก็เสร็จพอดี พี่ใหญ่รออยู่แล้วและพาเราขึ้นไปบนเมรุ ตรวจดูว่าเราเตรียมของมาครบหรือเปล่า ทุกอย่างครบแต่มีอย่างหนึ่งผิด นั่นก็คือเงินต้องเป็น ๓๒ เหรียญ มิใช่ ๓๒ บาท เราจึงเรี่ยรายเหรียญเงินให้พอกับที่ต้องการ เสร็จแล้วพี่ใหญ่ก็นำกระดูกออกมา ตอนนี้กระดูกอยู่ในแผ่นสังกะสียาวประมาณ ๒-๓ เมตร พี่ใหญ่จัดแจงจัดกระดูกลูกที่ได้เป็นรูปร่างคน ดิฉันเห็นกระดูกลูกก็เวทนาพึมพำกับตัวเองว่า “เหลือเท่านี้เองนะลูก เหลือตัวเท่าตอนหนูเกิดใหม่ๆ” เราเอาเหรียญทั้ง ๓๒ เหรียญวางโรยบนกระดูกที่ถูกจัดวางเป็นรูปร่างคน แล้วเอากลีบกุหลาบโรยทับและพรมน้ำอบไทยตาม พี่ใหญ่หันถาดไปทางทิศตะวันตกก่อนแล้วจึงหันไปทางทิศตะวันออก(ถ้าดิฉันจำไม่ผิด) แล้วจึงเริ่มหยิบแบ่งกระดูกเป็น ๓ ส่วน ส่วนแรกใส่โกฏิ ส่วนที่สองใส่ห่อผ้าขาวเอาไว้สำหรับลอยอังคาร ที่เหลือทั้งหมดในแผ่นสังกะสีพี่ใหญ่เทใส่หอผ้าขาวสำหรับบรรจุไว้ที่วัด เสร็จแล้วก็วางโกฏิและหอผ้าทั้ง ๒ ห่อลงในถาดที่เราเตรียมไป ส่งให้ดิฉัน ดิฉันรับมาใจก็บ่นว่า “นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่แม่จะได้มารับลูกนะครับ” ดิฉันอุ้มลูกวางบนตักนึกเปรียบเทียบถึงวันที่ดิฉันอุ้มเขาออกมาจากโรงพยาบาลกลับบ้าน วันนั้นเรามีความสุขมาก มีความสุขที่สุดถึงแม้ว่าจะมีผ้าเช็ดตัวปลาหมึก (พี่ First ยังนอนกอดอยู่จนโต เพิ่งแยกจากกันตอนมาเรียนที่ABAC นี่เอง) กับผ้าอ้อมเท่านั้นที่เราซื้อใหม่ให้ลูก นอกนั้นไม่ว่าจะเป็นเสื้อหรือถุงมือก็ได้มาจากป้าอั๋น แต่วันนี้เราโศกเศร้าเหลือเกินกับวิบากกรรมที่เราได้รับ
ถึงบ้านก็รีบช่วยกันเตรียมของเพราะทีมรับพระก็มาถึงบ้านเกือบจะพร้อมกับเรา เราถือโอกาสทำบุญบ้านไปพร้อมกันเลย ญาติๆ เพื่อนๆที่พอว่างมาช่วยงานได้ก็ยังมาช่วยกันอย่างเหนียวแน่น เสร็จงานทุกๆคนก็ทยอยกลับรวมถึงคุณย่าและพี่แดง เหลือเราสองคนอยู่ด้วยกันกับรูปและกระดูกของพี่ First
ประสบการณ์สู่หนทางการหลุดพ้นความทุกข์ในจิต
การสูญเสียบุตรชายอันเป็นที่รักในเวลาอันไม่สมควรด้วยไม่เคยคาดคิดมาก่อนดั่งเช่นที่เราสองคนได้ประสบเป็นทุกข์อันแสนสาหัส โรคทุกข์ที่มีอยู่ในจิตของเรานี้ไม่สามารถเยียวยาได้ด้วยยาทางโลกขนานใดทั้งสิ้น ยาขนานเดียวที่ทำให้เราคลายทุกข์และลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งคือบุญบารมี จากพุทธบารมี ธัมมบารมี และ สังฆบารมี
ความทุกข์ในจิตของคนเรานี้ร้ายกาจจริงๆ ความทุกข์นี้สามารถสั่งให้เราทำอะไรได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการร้องไห้ฟูมฟาย การคิดวนไปเวียนมาเกี่ยวกับเรื่องอันก่อให้เกิดทุกข์ การกินไม่ได้นอนไม่หลับ อาการประสาทหลอน บางครั้งอาจถึงขั้นอยากตายไปเลย ดิฉันประสบกับความรู้สึกทุกอย่างเหล่านี้มาหมดแล้ว แต่อาจเป็นด้วยบุญที่พอมีอยู่บ้างทำให้ดิฉันพบทางสว่าง ที่ทำให้หลุดรอดออกมาจากบ่วงกรรมแห่งความทุกข์นั้นมาได้ ดิฉันขอเชิญคนที่มีความทุกข์ อ่านทางสว่างที่นำพาดิฉันหลุดออกมาจากเจ้ากรรมนายเวรของความเป็นทุกข์ เพื่อจะได้พบทางสว่างเช่นกัน
หลังจากงานเผากายสังขารของลูกชายเสร็จสิ้นลง ดิฉันใส่บาตรและสวดมนต์มาตลอดแต่จิตของดิฉันไม่เคยสร่างทุกข์ที่แท้จริงเลย ไม่ว่าใครๆจะพยายามปลอบใจดิฉันอย่างไรก็ตาม ดิฉันเก็บตัวเงียบ เฝ้าคิดวนเวียนถึงแต่ลูก คิดถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับลูก บางครั้งจิตใจยังคิดกลัวลูกด้วยซ้ำ ถึงขนาดพอตกเย็นอยู่บ้านคนเดียวไม่ได้ ถ้าวันไหนคุณฉัตรแก้วต้องกลับดึกดิฉันต้องขอไปรอคุณฉัตรแก้วที่บ้านเพื่อนใกล้ๆ
จิตใจดิฉันทุกข์อยู่อย่างนั้น เฝ้าคิดว่านี่คงเป็นเวรกรรมของเราที่ทำมาแต่ชาติก่อนๆ เพราะ ฉะนั้นก็ต้องทนรับกรรมไปจนกว่าเวลาจะช่วยเยียวยาจิตให้เป็นปกติเช่นเดิม แต่คงเป็นเพราะบุญเก่ายังพอมีอยู่บ้างจึงทำให้ดิฉันได้พบสิ่งลี้ลับกับจิตวิญญาณลูก และจิตวิญญาณลูกนี่เองที่นำพาให้เราสองคนได้พบทางสว่างสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์ในจิต
หลังจากที่เราได้ช่วยจิตวิญญาณของลูกให้หลุดพ้นจากความหิวโหยและความเจ็บปวดแล้ว เราก็เริ่มชีวิตใหม่ด้วยการใช้ธรรมะนำทาง อาจารย์บอกเราว่า จิตวิญญาณที่นำพาเราสองคนมาที่นี่เป็นจิตวิญญาณที่ไม่ตายเปล่า เขานำพาพ่อแม่มาพบธรรมะทางพ้นทุกข์ เพียงแต่เขาไม่มีกายสังขารเป็นเครื่องยืนยันว่าเขาเป็นผู้นำมา อาจารย์เล่าว่าสรรพสัตว์ที่นำพาพ่อแม่มาพบทางสว่างนั่นเขามีการสังขารเป็นเครื่องยืนยันว่าเขาเป็นผู้นำมา (สรรพสัตว์ที่พูดถึงนี้คือเจ้าดุ๊กดิ๊ก (สุนัข) ที่ได้รับอุบัติเหตุและได้รับความช่วยเหลือจากสามีภรรยาคู่หนึ่ง และเจ้าดุ๊กดิ๊กนี่แหละก็เป็นตัวนำพ่อกับแม่ (สามีภรรยาคู่นั้น) มาพบอาจารย์ มาพบทางสว่างหลังจากที่ต้องทรมานกับโรคที่มีอยู่ในกายสังขารมาเป็นเวลานานหลายปี) อาจารย์บอกเราอีกว่าจิตวิญญาณที่นำพาเรามา เขาก็ได้รับผลานิสงส์จากการกระทำนี้ด้วยเช่นกัน ตอนนี้เขาดีไปแล้ว ไม่ต้องห่วงเขา เราทำให้เขาสมบูรณ์ครบถ้วนเท่าที่ความเป็นพ่อเป็นแม่จะทำให้ได้ พ่อแม่บางคนยังทำไม่ได้อย่างที่เราทำเลย เราได้ส่งเขาไปยังที่ที่ดีแล้ว และต่อแต่นี้ให้ห่วงตัวเองให้รักษากายสังขารและโรคภัยไข้เจ็บที่มีอยู่ในกาย
อาจารย์บอกว่าคุณฉัตรแก้วจะมีอายุทางโลกอยู่ได้อีกไม่นาน เพราะมีเจ้ากรรมนายเวรมาก ถ้าจะอยู่ต่อต้องอยู่ด้วยอายุทางธรรมะ อาจารย์แนะนำให้ทำบุญ สวดมนต์ให้ตัวเอง ให้จิตวิญญาณโรคที่อยู่ในกายสังขาร โรคที่อยู่ในกายสังขาร ให้ละเว้นจากวาจาที่เป็นเวร อารมณ์ที่เป็นเวร รวมถึงการกระทำที่เป็นเวร เพื่อจิตจะได้หลุดพ้นจากเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย และยังมีบุญกุศลที่สะสมเป็นเครื่องนำจิตให้พบหนทางแห่งความสุขที่แท้จริง ส่วนตัวดิฉันก็เช่นกันอาจารย์แนะนำให้ทำบุญ สวดมนต์ให้ตัวเอง ให้จิตวิญญาณโรคที่อยู่ในกายสังขาร ให้ละเว้นจากวาจา ความคิด อารมณ์ และการกระทำที่เป็นเวร เพื่อจิตจะได้หลุดพ้นจากความทุกข์ จากอารมณ์ จากโทสะ รวมถึง ความหลงสุข ความหลงทุกข์และ ความงมงายในเรื่องต่างๆที่เป็นทุกข์
ท่านผู้อ่านอาจจะคิดว่าทำไมเราสองคนจึงเชื่อในสิ่งที่เหมือนจะไร้สาระ และพิสูจน์ไม่ได้เช่นนี้ ดิฉันขอบอกว่าเราสองคนเชื่อในสิ่งที่อาจารย์แนะนำทั้งหมดไม่มีติดใจอะไรเลยในขณะนี้ เพราะเราได้พบสิ่งลี้ลับกับจิตวิญญาณของลูก สิ่งลี้ลับจากเพื่อนที่มาร่วมสวดมนต์ด้วยกัน รวมถึงประสบการณ์ตรงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ถึงแม้ว่าจะพิสูจน์ให้ใครเห็นไม่ได้ก็ตาม แต่ถ้าผู้ใดได้เข้ามาปฏิบัติและศึกษาก็จะประสบได้เช่นเดียวกันกับเราสองคน ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เราศรัทธาในคำสอนของอาจารย์และยึดคำสอนของท่านเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
ณ เวลานี้เราสองคนได้บวชจิตมาเป็นเวลา ๑ เดือนแล้ว ท่านอาจจะสงสัยว่าการบวชจิตเป็นอย่างไร ดิฉันจะเล่าให้ฟังค่ะ การบวชจิตนั้นแตกต่างจากการบวชพระ การบวชจิตนี้ทุกคนสามารถทำได้ควบคู่ไปกับการดำเนินชีวิตตามปกติของเรา เพียงแค่ต้องใส่บาตร ต้องสวดมนต์ ต้องทำการถอน ทำการขออโหสิเวรในสิ่งที่เป็นเวรที่เราได้กระทำลงไปในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นทางวาจา ความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ โทสะ หรือการกระทำต่างๆที่ไม่ดีทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
เราสองคนใส่บาตรตอนเช้าทุกเช้า เพื่อให้ผลบุญแก่ตัวเราและสิ่งต่างๆที่อยู่ในกายสังขารของเรา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดีหรือความรู้สึกนึกคิดที่เป็นทำให้จิตขุ่นมัว ปัญหา/อุปสรรคในการทำงาน ความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน และที่ลืมไม่ได้เด็ดขาดคือใส่ให้กับจิตวิญญาณของพี่ First ในการทำบุญให้ใครหรือให้แก่อะไรก็แล้วแต่ อาจารย์สอนให้จัดแยกเป็นชุดๆ ของใครของคนนั้นไม่รวมกัน ทุกสิ่งอย่างจะได้รับผลบุญของตนเอง จะได้อิ่มเท่ากัน ไม่ต้องแย่งกัน บางวันตัวดิฉันทำถึง ๖ ชุด ทั้งนี้ก็แล้วแต่ว่าช่วงนั้นเราต้องการให้กุศลผลบุญแก่สิ่งใดบ้าง แต่สิ่งที่ต้องให้เป็นอันดับแรกและทุกวันคือให้ผลบุญแก่ตัวเอง เพื่อตัวเราจะได้มีผลบุญไปทำอย่างอื่นต่อไป ตอนมืดราวสองทุ่มครึ่งเราจะไปเรียนธรรมและสวดมนต์ที่บ้านอาจารย์ กว่าจะทำกิจกรรมทุกอย่างเสร็จสิ้นก็ราวเที่ยงคืน กว่าจะได้นอนก็ราวตี ๑ และประมาณ ๖ โมงเช้าเราต้องตื่นมาเตรียมของใส่บาตร ตอนปฏิบัติใหม่ๆก็เหนื่อยและเพลีย อาจารย์บอกว่าถ้าเราผ่านตรงนี้ได้เราก็จะเป็นปกติ และก็เป็นดังที่อาจารย์บอก ตอนนี้เราไม่มีปัญหาเรื่องเหนื่อยหรือเพลียจากการนอนดึกตื่นเช้า ตรงกันข้ามวันไหนอาจารย์ติดธุระ เราสวดมนต์กันที่บ้านและเข้านอนเร็วกว่าปกติ เราจะรู้สึกเหนื่อยและเพลียมากกว่า คุณฉัตรแก้วบอกว่านี่เป็นเพราะนาฬิกาในตัวเราเปลี่ยนไปแล้ว พอเรานอนเลย loop ไปและไปขึ้น loop ใหม่และยังไม่ครบ loop จึงเป็นการคร่อม loop และทำให้เพลีย
การไปฟังเทศน์ในแต่ละวันอาจารย์จะเตือน จะดึงเราในเรื่องต่างๆที่เราออกนอกลู่นอกทางของการบวชจิต อาจารย์สามารถอ่านจิตของพวกเราได้ทุกคน และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราศรัทธาท่าน คำสอนของอาจารย์เป็นสัจธรรม กล่าวคือเป็นเหตุเป็นผลที่รับได้จริงๆมิได้งมงาย อาจารย์จะแนะแนวทางให้ปฏิบัติและพิสูจน์ด้วยตัวเอง เราได้พิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วในหลายๆเรื่อง และนี่ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เรายอมรับท่าน นอกจากนี้อาจารย์ยังชี้ให้เราเห็นถึงจุดบกพร่องต่างๆของตัวเองที่ทำให้เป็นทุกข์ และแนะนำแนวทางการแก้ให้ อาจารย์เทศน์ว่าเวรกรรมทุกอย่างเราสามารถแก้ไขได้โดยการให้ผลบุญแก่เจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้น ไม่ใช่อย่างที่เราเคยเชื่อกันมาว่า ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือ สรรพสัตว์ ต้องเกิดมาใช้เวรใช้กรรมโดยไม่มีทางแก้ ไม่ใช่แต่คนธรรมดาอย่างเราที่คิดแบบนี้ แม้นกระทั่งพระสงฆ์เท่าที่เราได้พบหรือการได้รับฟังจากคำบอกเล่าก็ยังเข้าใจเช่นเดียวกันว่า มนุษย์ หรือ สรรพสัตว์ ต้องเกิดมาใช้เวรใช้กรรมโดยไม่มีทางแก้ นอกจากนี้เรื่องการทำบุญและกรวดน้ำให้แก่ตัวเอง ให้จิตวิญญาณโรคในกายสังขาร ให้กายสังขารที่ดีและกายสังขารที่ไม่ดี ให้สิ่งต่างๆที่ดีในกายสังขาร ให้นิสัยความรั้นตะแบงของตัวเรา ให้อารมณ์ความรู้สึกที่เป็นทุกข์ต่างๆ ให้อุปสรรคและปัญหาในการทำงาน ให้เพื่อนร่วมงาน ให้ความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน ก็ไม่เคยมีใครบอกให้ทำกันเช่นกัน โดยปกติเราจะทำบุญและกรวดน้ำให้แก่เจ้ากรรมนายเวรและญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งก็จะตรงกับคำสอนของอาจารย์ที่ว่า คนเราจะทำบุญออก ไม่ทำบุญเข้า นั่นก็คือทำบุญให้คนอื่นโดยลืมนึกถึงการทำบุญให้ตัวเอง อาจารย์ถามเราอีกว่า เราควรรดน้ำตอเป็นหรือตอตาย ใช่ค่ะ ตอเป็นแน่นอน อาจารย์อธิบายต่อว่า การรดน้ำที่ตอเป็นก็เหมือนกับการทำบุญให้กับตัวเองในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อให้ผลบุญได้กับตัวเองและสิ่งต่างๆที่เราทำบุญให้ การทำเช่นนี้เราสามารถเห็นผลได้ในปัจจุบันถึงแม้จะต้องใช้เวลาในการรอคอยบ้างก็ตาม ส่วนการรดน้ำให้ตอตายคือการทำบุญไปให้แก่คนที่ล่วงลับไปแล้ว นั่นก็คือเราจะรอให้ญาติพี่น้องทำบุญไปให้ตอนที่เราละสังขารไปแล้ว การทำเช่นนี้เราก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเราจะได้รับผลบุญที่เขาทำไปให้จริงหรือไม่ ดังนั้นในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่นี้เราควรจะต้องพิจารณาว่าควรทำเช่นไร
ดิฉันขอยกตัวอย่างที่ทำให้ดิฉันยอมรับและศรัทธาในอาจารย์ท่านนี้ให้เห็นชัดเจนขึ้นนะคะ ตัวดิฉันเองเป็นคนช่างคิดและช่างเก็บรายละเอียดทั้งที่ดีและที่เป็นทุกข์แก่ตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องลูกชายที่เสียชีวิตไปแล้ว คิดแล้วจิตก็หลอนไปต่างๆนาๆ วันหนึ่งอาจารย์ทักดิฉันว่า “คิดอะไรละป้อม ทุกอย่างมันจบไปแล้ว ไอ้ที่คิดอยู่นะเหลวไหลทั้งสิ้น” และอาจารย์ก็แนะนำให้ใส่บาตรและสวดมนต์ให้กับความคิดที่ขุ่นมัว ความคิดที่เป็นเวร อยากรู้ไหมคะว่าดิฉันคิดอะไรอยู่ เรื่องนี้มีคุณฉัตรแก้วคนเดียวเท่านั้นที่ดิฉันคุยให้ฟัง เรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่งหลังจากคิดฟุ้งซ่านไปมากมาย ดิฉันก็เดินไปที่ห้องลูกและพูดกับรูปลูก บอกจิตวิญญาณของลูกชายให้รีบกลับไปใช้เวรกรรมให้เรียบร้อย อีกประมาณ ๑๐ ปีเป็นอย่างน้อยให้เขากลับมาเกิดใหม่เป็นลูกของน้อง Fourth และดิฉันจะเป็นคนเลี้ยงดูเขาเองเพราะช่วงนั้นดิฉันคงจะเกษียณแล้ว ดิฉันจะสอนลูกให้รู้จักการทำบุญ รู้จักธรรมะที่ทำให้หลุดพ้น และเมื่อเขาโตครบอายุ ๒๐ ปีเหมือนที่เขาจากเราไปในขณะนี้ เราก็คงจะถึงเวลาไปบ้างเหมือนกัน และเขาจะต้องเป็นคนมาคอยดูแลนำส่งเรา เหมือนที่เราทำให้เขา หลังจากนั้นเขาก็จะได้ดูแลพ่อของเขา (น้องFourth) ต่อไป เพื่อทดแทนกับการที่น้องได้ดูแลพ่อ-แม่ แทนเขาในช่วงที่เขาไม่อยู่ รู้ความคิดของดิฉันแล้วขำไหมค่ะ แต่ดิฉันทำจริงและได้คุยกับรูปของลูกเป็นตุเป็นตะ ตอนนั้นนะ คุยไปร้องไห้ไปด้วยนะคะ ด้วยอาการดังกล่าวนี้อาจารย์จึงแนะนำให้ใส่บาตรเพิ่มอีก ๑ ชุด ให้แก่ความคิดที่เป็นกังวล ความคิดที่ไม่หลุดพ้น หลังจากทำตามที่อาจารย์แนะนำ ดิฉันก็ไม่ค่อยคิดเกี่ยวกับลูกมากเหมือนเดิม ความคิดเหมือนจะปล่อยๆ คิดว่าเขาไปดีแล้วก็สบายใจ เชื่อไหมค่ะเดี๋ยวนี้ดิฉันไม่เคยร้องไห้ฟูมฟายเวลานึกถึงลูกอีกเลย ความคิดที่มีต่อเขาจะมีก็แต่สิ่งดีๆ ที่ทำให้เรามีจิต (ไม่ใช่ใจนะคะ) ที่เป็นสุข ดิฉันเคยไปนั่งคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งลูกชายเขาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถเหมือนลูกดิฉัน ลูกเขาเสียมาเป็น ๑๐ ปี แต่พอนึกถึงเรื่องนี้ที่ไรเขาก็จะร้องไห้เสียใจและคิดถึงลูกมากๆ ดิฉันคิดว่านั่นเป็นเพราะความผูกพันที่มียังไม่ขาดหายไป อันนี้อาจเป็นสาเหตุมาจากการที่ไม่แน่ใจว่าลูกที่จากไปแล้วจะเป็นอย่างไร ทุกข์หรือสุข ครั้นคิดเรื่องนี้ขึ้นมายามใจมันก็บีบหัวจิตหัวใจของผู้เป็นแม่ยามนั้น นี่คือบ่วงทุกข์ที่ยังไม่หลุดไงค่ะ
บางวันดิฉันก็คิดในทางที่ไม่ดี ไม่ดีเลยจริงๆ ถึงขั้นตัวเองก็ยังสงสัยตัวเองว่าทำไมจิตใจจึงคิดได้ขนาดนี้ ดิฉันเล่าให้อาจารย์ฟัง อาจารย์แนะนำให้ใส่บาตรให้กับความคิดที่ไม่ดีนั้นเสีย ดิฉันได้ใส่บาตรให้และสังเกตจิตตัวเองว่าเป็นอย่างไร ก็ดีขึ้นค่ะ อาจารย์แนะนำว่าถ้าใส่ให้วันหนึ่งยังไม่ดีขึ้น ให้ใส่ให้อีกจนกว่าจะดี ถ้าจะแบ่งบุญกุศลจากการสวดมนต์ให้อีกด้วยก็จะเร็วขึ้น ถ้าสังเกตดีๆวิธีการสอนของอาจารย์ท่านนี้เน้นเรื่องความเมตตาเป็นหลักโดยการทำบุญให้ทุกๆสิ่งที่เป็นเวร
บางคนอาจจะมองเรื่องค่าปัจจัยในการทำบุญว่าถ้าทำหลายๆชุดก็จะเป็นภาระได้ อันนี้ต้องใช้ปัญญาเพิ่มอีกนิดค่ะ อาหารที่ใส่บาตรไม่จำเป็นต้องเป็นข้าวทุกวัน อะไรก็ได้ เพราะทั้งหลายทั้งปวงอยู่ที่ความตั้งใจที่จะทำมากกว่า น้ำขวดเพียงขวดเดียวก็จัดเป็น ๑ ชุดได้ค่ะ ข้าวเหนียว ๑ ห่อ หมูปิ้งสัก ๒ ไม้ น้ำสักแก้ว ก็ได้ คิดเปรียบเทียบกับความเป็นจริงในชีวิตเราเป็นหลักค่ะ ถ้าเราไม่มีเงินแค่น้ำขวดก็ปะทังชีวิตเราได้ ถ้าเป็นข้าวเหนียวหมูปิ้งก็ได้อิ่มหนึ่งเลย หรือจะไก่ย่าง KFC กับ น้ำอัดลมกระป๋อง (menu โปรดของเด็กวัยรุ่น) ก็ได้ถ้าไม่เบียดเบียนตัวเองจนต้องเป็นทุกข์ อาจารย์สอนว่าทำแล้วต้องไม่ทุกข์ ต้องใช้ปัญญาประกอบ อันนี้เรียกว่า มีสติ นำทาง ถ้าทำแล้วยังมีทุกข์อาจารย์บอกพวกเราว่าต้องเรียนซ้ำชั้น
ตอนนี้ดิฉันมีทางออกที่ดีให้แก่จิตใจของตัวเองแล้ว เมื่อมีความทุกข์ใดๆเกิดขึ้นกับดิฉัน ดิฉันมั่นใจว่าวิธีทางธรรมะที่ได้เรียนมาจะสามารถพาจิตของดิฉันให้หลุดพ้นได้ ถ้าใครที่มีความทุกข์แล้วยังหาทางออกไม่ได้จะลองเอาแนวทางที่ดิฉันเล่าให้ฟังไปปรับใช้ก็ได้นะคะ อย่าเพิ่งเชื่อดิฉัน แต่อยากให้ได้ลองปฏิบัติด้วยตัวเองจะดีกว่าค่ะ ประโยคสุดท้ายนี้เป็นประโยคที่อาจารย์มักจะบอกพวกเราเสมอๆ
ผลแห่งความเพียร
ตลอดเวลา ๙ เดือนที่ศึกษาที่ Melbourne หลังจากสูญเสียพี่ First ดิฉันต้องยอมรับตามตรงว่าจิตส่วนใหญ่ของดิฉันหมกมุ่นอยู่กับการค้นหาความจริงว่า จิตวิญญาณเมื่อละสังขารแล้วไปไหน การไปวัด (วัดไทย ที่Melbourne) ตลอด ๙ เดือนของดิฉันไม่ว่าจะเช้าหรือสาย ไม่ว่าอากาศจะหนาวหรือจะร้อน ไม่ว่าจะต้องขึ้นรถสักกี่ต่อ หรือจะต้องเดินไกลสักเพียงไหน ดิฉันก็เพียรไปวัดเพื่อไปทำบุญให้แก่จิตวิญญาณ First และตัวเอง การได้มีโอกาสพูดคุยกับอาจารย์ทางโทรศัพท์อยู่เนืองๆ การได้สนทนาธรรมะกับพระที่วัดไทยนคร Melbourne การอ่านหนังสือเกี่ยวกับธรรมะที่ยังคงติดใจสงสัย และการฝึกสมาธิโดยมีอาจารย์ฉลาดที่วัดไทยเป็นพระผู้ให้คำแนะนำ รวมถึงการได้รับรู้เรื่องจิตวิญญาณ First จากคุณฉัตรแก้วโดยผ่านทางการติดต่อของแม่บ้านผู้ซึ่งได้ทำการฝึกจิตมาเป็นเวลาถึง ๒๐ ปีอยู่มิได้ขาดนั้นทำให้ดิฉันค่อยๆรับรู้สภาพความเป็นจริงของชีวิตและเริ่มคลายความเป็นห่วงเป็นกังวลต่อจิตวิญญาณ First ที่มีอยู่ในจิต
ถ้าจะถามเรื่องการเรียนต้องยอมรับตามตรงว่าก้าวหน้าน้อยมากๆ อ่านอะไรก็ไม่เข้าใจ เขียนงานออกมาถึงได้บ้างก็ไม่ดี ดิฉันรู้ตัวดีในปัญหานี้และพยายามปรับปรุงแก้ไข โดยการเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาแต่ก็ดูเหมือนความสนใจในเรื่องเรียนจะน้อยมากจริงๆ โชคดีที่ Supervisors ทั้ง ๒ ของดิฉันเข้าใจและเป็นกำลังใจให้ดิฉันตลอดมา
จากการฝึกจิตและติดตามเรื่องความเป็นจริงของชีวิต ดิฉันเรียนรู้ว่ากรรมไม่ว่าจะเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมเกิดขึ้นได้อย่างไร ชีวิตหลังความตายที่มีกรรมเป็นตัวกำหนดนั้นมีหนทางไปทางใดบ้าง ถ้าไม่อยากไปตามเชื้อเพลิงกรรมที่มีควรทำอย่างไร
ชีวิตดิฉันสมถะจริงๆจิตจะผูกติดอยู่กับธรรมะที่ได้อ่านได้ฟังอยู่ตลอด จนในที่สุดช่วงปลายปีก่อนกลับมาเยี่ยมครอบครัวที่เมืองไทย ดิฉันสามารถสัมผัสกับจิตวิญญาณของพี่ First ได้จริงดังที่อาจารย์และแม่บ้านเคยบอกไว้ แต่เป็นการสัมผัสที่ดิฉันก็ไม่แน่ใจว่าเป็นจริงหรือไม่ จนกระทั่งกลับมาเมืองไทยและได้พูดคุยกับแม่บ้านจึงรู้ว่าดิฉันสามารถสัมผัสกับพี่ First ได้จริง
จากประสบการณ์เรื่องธรรมะที่มี ดิฉันพูดคุยกับแม่บ้านและได้สอบถามแม่บ้านว่า ที่ใครๆบอกว่า จิตวิญญาณพี่ First เป็นเทพนั้น ช่วยบอกทีเถอะว่าเขาเป็นเทพชั้นใด แม่บ้านบอกว่าเขาอยู่ชั้น ตุสิตาภูมิ ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นที่ ๔ ในจำนวน ๖ ชั้น (จาตุมหาราชิกาภูมิ ตาวะติงสาภูมิ ยามาภูมิ ตุสิตาภูมิ นิมานะระตีภูมิ และปะระนิมมิตตะวะสะวัตตีภูมิ) แม่บ้านยังบอกอีกว่าเขาเป็นจิตวิญญาณที่สัมผัสได้ง่ายหากมีจิตนิ่งพอ เขามีกายทิพย์ อิ่มทิพย์ สามารถกำหนดจิตไปไหนมาไหนได้ เขาสามารถภาวนาเพิ่มบารมีได้ และมีบ้านสวยอย่างเราด้วย ได้ฟังแล้วดิฉันก็อิ่มใจ จิตเริ่มวางได้จริงๆเสียที หลังจากที่ติดตามค้นหาความจริงเกี่ยวกับเขามาเป็นปี
ตอนนี้คุณฉัตรแก้วเริ่มฝึกสมาธิเช่นกันและดูท่าจะก้าวหน้ากว่าดิฉันมาก อีกไม่นานคุณฉัตรแก้วคงสามารถติดต่อกับ จิตวิญญาณพี่ First ได้เหมือนแม่บ้าน ดิฉันก็จะทำบุญ ฝึกจิตไปเรื่อยๆไม่เร่งรีบแล้วเพราะทุกอย่างที่อยากรู้ อยากได้ ในเรื่อง จิตวิญญาณพี่ First ดิฉันก็ประสบความสำเร็จแล้ว ต่อแต่นี้ไปดิฉันจะคอยรับฟังข่าวคราวความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับจิตวิญญาณพี่ First จากคุณฉัตรแก้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น