วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2554

เล่าเรื่องพี่เฟิสท์ (P'First) 3

พ่อคะ

อ่านแล้วก็อ่านอีก อ่านวันละหลายรอบ ยิ่งอ่านก็ยิ่งเห็นภาพชัดขึ้นเรื่อยๆว่า P’First กำลังพาพวกเรา รวมถึงตัวเขาเอง หนีออกจากบ่วงกรรมที่กำลังวิ่งตามมาติดๆ นึกถึงภาพตอนจิตเขาจะดับ แต่ด้วยแรงอธิษฐานที่จะรอพ่อกับแม่ให้ได้ ทำให้จิตเขาไม่แตกสลาย และแรงพอที่จะสัมผัสกับพ่อได้ในเวลาต่อมา นี่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเรา พ่อ แม่ ลูก รักกัน ผูกพันกันแค่ไหน แม้จะต้องละกายสังขารจิตก็ยังรอกันอยู่ จิตเรานี่หนอมีอานุภาพจริงๆ และจิตนี่แหละคือตัวตนที่แท้จริงของพวกเรา

จิตวิญญาณเพื่อน P’First คงจะมีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย คนแก่ คนหนุ่มสาว และเด็ก พวกนี้ ทั้งอด เจ็บปวดและทรมาน แม่ไม่คิดว่าทุกจิตจะโดนญาติพี่น้องทิ้งหมด ดูอย่างเราซิเราก็ทำให้ลูกเราอย่างเต็มที่ อย่างดีที่สุด ที่เราจะทำได้ เราทำทุกอย่างที่เขาบอกว่าทำแล้วดี ทำแล้วลูกจะมีความสุข แต่กลับตรงกันข้าม สุดท้ายลูกติดยังอยู่ที่โรงพยาบาล ทำไมลูกจึงไม่บอกเราก่อนหน้านี้ หรือต้องรอให้พ่อแม่มีบุญมากพอ อาจารย์จึงจะนำพาไปช่วยได้ อาจารย์บอกให้แม่เพียรทำไป เพราะไม่ได้ดีแค่ตัวเราเท่านั้น ครอบครัวเรา ลูกเราก็ดีด้วย ยังถามแม่อีกว่า “อยากให้เขาหลุดไหม ถ้าป้อมหลุดเขาก็หลุด” หลุดที่อาจารย์พูดถึงคือหลุดพ้นจากตรงนี้หรือเปล่าแม่ก็ไม่แน่ใจ หรือจะเป็นการหลุดพ้นครั้งยิ่งใหญ่คือจะได้ไปผุดไปเกิดในภพภูมิที่ดีขึ้น

ส่วนจิตวิญญาณที่อาจารย์เอาไปไว้ที่วัดหลวงพ่อโตเหล่านั้น ไม่รู้ทนทุกข์ทรมานกันมานานแค่ไหนแล้ว แต่ก็ถือว่าโชคดีที่มี P’First ที่สามารถไปไหนมาไหนได้ และต้องเทียวเข้าเทียวออกผ่านวัดบางพลีกลางทุกวัน ทำให้ได้ผลบุญกันทุกวัน มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่บุญที่ขอมาได้ จิตบางจิตอาจได้ไปเกิดแล้ว เพราะอาจจะต้องการเพียงครั้งเดียวก็หลุดไปเลย แหม....คิดอย่างนี้แล้วก็น่าชื่นใจแทนจิตวิญญาณที่ดีดวงนี้จริงๆ จิตวิญญาณดีกว่ามนุษย์ตรงที่ไม่มีสิ่งยั่วยุให้สร้างอกุศลกรรม เขารู้ดีว่าเมื่อถึงตอนไม่มีกายสังขารแล้ว บุญเท่านั้นคือสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทองที่ทุ่มเททั้งชีวิต จนลืมนึกถึงการทำบุญ ไว้สำหรับเป็นเชื้อเพลิงในการเดินทางไกลเมื่อดับจากภพภูมิมนุษย์ไปแล้ว

วกไปวนมาก็กลับมาหาสัจจะธรรมที่อาจารย์พูดอยู่ทุกวัน แม่ฟังตั้งแต่ไม่เห็นว่าสิ่งที่อาจารย์พูดจะเป็นจริงไปได้อย่างไร ไม่เคยมีใครตายแล้วกลับมาบอกว่า ตายแล้วไม่ดี ลำบาก ต้องทำบุญกันไว้นะ มีแต่ทุกคนไปแล้วไปลับ คนข้างหลังจึงสรุปว่า คงไปดีมีความสุขแน่แล้ว มี P’First นี่แหละมาทำให้เราได้รู้ได้เห็น

พ่อเล่าตอนขับรถไปสวดมนต์ แล้วรับรู้ได้ว่าลูกไปด้วย แต่พอถึง 7 ถามกิน Pepsi ก็รู้สึกเฉยๆ รู้อีกทีตอนเคลิ้มกำลังจะหลับ แม่คิดว่าลูกไปรับ ไปส่งพ่อ เพราะพ่อรู้สึกได้ว่าเขาอยู่กับพ่อ ตอนไปก็ระหว่างทางตัดจากลำลูกกาไปคลอง 7 ตอนขากลับก็รู้สึกได้ตั้งแต่แยกเข้าถนนเส้นตัด จนเกือบถึงแยกเข้าถนนลำลูกกา ส่งพ่อถึงทางแยกลำลูกกา เขาก็กลับไปหาอาจารย์ แม่ว่าเขาจะต้องบอกลาอาจารย์ก่อนจึงจะกลับบ้านทุกครั้ง ที่แม่คิดอย่างนี้ก็เพราะแม่นึกถึงที่คุณแม่บ้านบอกว่า เขาไม่เห็นพ่อวันเสาร์ เขาเป็นห่วงพ่อ เพราะฉะนั้นแม่ว่าเขาจะต้องไปรับ ไปส่ง พ่ออย่างนี้ทุกวันเพราะเขาห่วงพ่อ พ่อลองสังเกตดูนะคะ และเห็นทีว่าวันไหนที่พ่อรู้ล่วงหน้าว่าไปสวดมนต์ไม่ได้คงต้องบอกเขาด้วยในตอนเช้าก่อนไปทำงาน ไม่งั้นเขาก็จะห่วงอีก

นึกถึงแสงที่พ่อเห็นและเขียนบรรยายมาให้ฟัง ไม่รู้นะบอกไม่ถูก รู้แต่ว่าชื่นใจรับรู้ว่าเขาเป็นจิตวิญญาณที่มีบุญทีเดียว ภาพที่เป็นสื่อแทนตัวเขาที่เราสามารถสัมผัสได้จึงดูดี แม่ว่าเขาบอกพ่อว่า “พ่อครับ First กลับมาแล้วนะครับ” และคิดว่าตอนเช้าตอนพ่อไปทำงานก็น่าจะสัมผัสได้เช่นกันว่า เขาบอกพ่อว่า “พ่อครับ First ไปสวดมนต์นะครับ เจอกันตอนเย็น”

จบแล้วนะ จะตั้งใจเรียนซะที
รักพ่อค่ะ
ป้อม ( 6 กรกฎาคม 2549)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น