วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2554

ธรรมะหลวงพ่อ - เกิดมาเพื่ออะไร...

การเกิดมาของทุกคนในโลกนี้ จะมีใครบ้างที่รู้ว่าตัวของเรา เกิดมาเพื่ออะไร เกิดมาทำไม

การยึดติดถืออยู่ในจิต ก็เหมือนการถือวัตถุสิ่งของ เหมือนวัตถุเราได้แต่ถือมาตลอด เราแบกมาตลอดทั้งชีวิตของตัวเรา จนถึงขณะนี้ เรายังไม่เลิกแบก เรายังไม่เลิกถือ ถามว่าแล้วสิ่งใดบ้างที่จะช่วยเราปลดที่เราแบก ปลดที่เราถือไว้ให้เรามีสังขารที่เบาบางบ้าง เหมือนธรรมะที่หลวงพ่อเทศน์ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ การหลงงมงายทำให้เราทุกข์ทั้งชีวิต เพราะอะไร เราหลงในสิ่งต่างๆทุกอย่างว่า สิ่งที่เราทำเรายังไม่ได้ทำ แต่เราหลงว่าสิ่งที่เราคิดว่าดีจะต้องดี แต่ตัวเราไม่ได้ทำ จงแยกแยะใหม่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างปัจจุบัน ไม่มีอะไรที่ไม่ดับสูญ กายของเราก็รอเวลาหรือว่ารอวันดับสูญ วัตถุที่เราหามา เราดิ้นรนมา ที่ทุกข์มา แทบเป็นแทบตายก็รอวันดับสูญ แต่วัตถุดับสูญเหล่านั้น เดี๋ยวก็ประกอบขึ้นมาใหม่ สร้างขึ้นใหม่มีแบบอยู่ แต่กายสำหรับมนุษย์ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าแบบ เวลากายสังขารดับแล้วไม่ได้เกิดเหมือนวัตถุ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีการแก้ตัวใหม่ ไม่มีการรอโอกาสใหม่ ไม่มีอะไรว่าใหม่เลย มีแต่ว่าที่มนุษย์เป็นอยู่ต้องรับกับเวรเท่าไร กรรมเท่าไร ทั้งอดีตชาติ ปัจจุบันชาติของเก่าทั้งหมด เพราะฉะนั้นส่วนที่มนุษย์แต่ละคนทำทุกสิ่งทุกอย่าง หรือว่าสิ่งที่ทำเพื่อคนอื่น แต่สิ่งที่หลวงพ่อเทศน์สอนมนุษย์คือให้มนุษย์ทำเพื่อตนเอง การทำบุญใส่บาตรกับพระที่บิณฑบาต แก้กรรมแก้เวรได้ สิ่งใดที่ทำให้เราทุกข์ สิ่งนั้นเป็นเวรกับเรามา แก้โดยใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลให้ คนเราเมื่อเวลาทำบุญใส่บาตร เราไม่เคยให้ตัวเอง เราอุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวรของเรา ซึ่งเราไม่รู้เลยว่าเจ้ากรรมนายเวรของเราคือใคร แต่ในส่วนตัวของเราที่ทุกข์อยู่ มีความวิตกกังวลอยู่ มีปัญหามีเรื่องอยู่ในส่วนต่างๆเหล่านั้น ทำไมตัวเราไม่หาวิธีที่จะแก้ ที่จะทำให้หลุดพ้นไปจากจิตของเรา เราใส่บาตรอุทิศผลบุญให้แก่ตัวเราบ้าง เราใส่บาตรอุทิศผลบุญให้แก่สิ่งต่างๆเหล่านั้นที่ทำให้เราทุกข์บ้าง เราสวดมนต์แผ่ส่วนกุศลให้แก่สิ่งต่างๆบ้าง ทำไมทุกคนไม่คิดที่จะทำกัน แต่เวลาเราทำ เราหาวัตถุภายนอก เราทำให้ตัวเรา เราสร้างบ้านให้ตัวเรา เราหาปัจจัยให้ตัวเรา เราทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ตัวเราที่เป็นวัตถุภายนอก เราทำให้ตัวเราทั้งหมด แต่เวลาทำบุญผลต่างๆที่เป็นบุญ เราทำให้ญาติ ให้บรรพบุรุษ ให้เจ้ากรรมนายเวร ให้แก่คนตายที่ล่วงลับไปแล้ว อุทิศให้แก่สิ่งต่างๆมากมาย แต่ตัวของเราไม่เคยคิดที่จะให้กัน แล้วทุกคนก็บ่นว่าไม่อยากทำบุญแล้ว ทำแล้วก็ไม่เห็นที่จะได้อะไร ทำแล้วไม่เห็นผล ทำแล้วงมงาย เรายังทำบุญบ้านที่เป็นที่อยู่อาศัย เรายังซ่อมบ้านของเราเมื่อทรุดโทรม แต่กายสังขารที่เป็นบ้านของจิตของตัวเรา เราเคยทำบุญให้บ้างหรือไม่ เราเอาผลบุญเข้าไปซ่อมกายซ่อมจิตของเราบ้างหรือไม่ เราเคยถอนสิ่งต่างๆที่ไม่ดีที่อยู่ในจิต ในวาจา ของเราบ้างหรือไม่ เราเคยสวดมนต์แผ่ส่วนกุศลให้หรือไม่ ถ้าทุกคนไม่หาเวลาในการแก้เวรแก้กรรม ในปัจจุบันวันนี้ แล้วเมื่อไหร่เราถึงจะหลุดพ้นที่ได้สร้างกรรมไว้ของแต่ละคน เวลาสำหรับทุกคนไม่ว่าจะเป็นเวลาอะไรก็แล้วแต่ ไม่เลือกเวลาทุกข์สักวัน แต่เวลาที่ดีสำหรับทุกคน วันนี้ดี ทุกคนยึด ยึดแต่วันดี เวลาดี แล้วถามทุกคนว่า แล้ววันที่ทุกคนทุกข์ ทุกวันไม่เลือกเวลาด้วย ในสิ่งเหล่านั้นเขาเรียกว่ากรรม กรรมของทุกคน การแก้ของทุกคน ไม่ว่าอายุขัยมากหรืออายุขัยน้อย อันนี้เป็นแค่กายสังขาร แต่เมื่อถึงเวลาไม่เลือกว่า อายุขัยมากหรือน้อย ถึงเวลาของที่สำหรับกายสังขารของทุกคน ไม่เลือกว่าอายุจะน้อยหรือมาก เพราะแต่ละคนที่เป็น หรือว่าในบางครั้งที่ใส่อยู่ ที่สวมกายอยู่ ในเวลาที่ตายที่สวมใส่อยู่ แต่แล้วเขาก็เผาด้วย แต่กุศลผลบุญที่ทุกคนได้แต่ละวัน หรือว่าได้แก้ทีละวัน ไม่ว่าจะเผาก็ดี ไม่ว่าจะทำต่างๆให้หายไป ละลายไปมันก็ไม่หายไป มันกลับติดตามมนุษย์ไปทุกชาติ ทุกภพ ทุกภูมิ ไม่ว่าทุกคนจะสุขหรือทุกคนจะทุกข์ ผลบุญก็ตามติดตัวของมนุษย์ ติดตามจิตวิญญาณต่างๆ แต่ละชาติแต่ละภพ แต่ละภูมิสำหรับมนุษย์ อันนี้ตามทุกชาติ แต่ในเมื่อปัจจุบันนี้ ในสิ่งที่เรียกว่าความเป็นอยู่ พ่อแม่แค่ได้ตามกายสังขาร แต่กุศลผลบุญตามตัวมนุษย์ หรือว่าจิตวิญญาณในกายสังขาร ของมนุษย์ไปทุกที่ ผลบุญก็ดี เวรก็ดี กรรมก็ดี สามอย่าง เขาไม่ทิ้งจิตวิญญาณของมนุษย์ ไม่ว่ามนุษย์จะอยู่ตรงไหนก็แล้วแต่ ที่ไหนก็แล้วแต่ ผลบุญก็ติดตาม กรรมก็ติดตาม เวรก็ติดตาม แต่ถ้ามนุษย์ทุกคนรู้จักทางแก้ นำแต่ผลบุญไป แต่ในส่วนเป็นกรรมเวรต่างๆ ในเมื่อมนุษย์หลุดพ้น เหลือแต่ผลบุญ ที่มนุษย์ได้วางได้แก้ อันนั้นแหละคือชาติภพภูมิสำหรับมนุษย์ทุกคน แม้ปัจจุบันมนุษย์จะไม่รู้ค่าของตนเองเท่าไหร่ แต่วันใด เมื่อถึงวันที่กายสังขารสำหรับมนุษย์ดับ มนุษย์จะยึดแค่ดอกไม้ธูปเทียนแค่นำทาง แค่นั้นเอง ไม่สามารถหลุดพ้น ทั้งกรรมและเวรต่างๆทุกอย่าง ที่มนุษย์สร้างไว้ตั้งแต่ตอนเกิดจนถึงปัจจุบัน ตอนที่กายละจากสังขารของมนุษย์แล้ว ตอนนี้มนุษย์ยังรู้จักบุญ ยังจุดธูปเทียนสวดมนต์ได้ ขอบุญบารมีได้ แต่มนุษย์บางคนรู้จักธูปเทียนในขณะที่กายสังขารไม่ไหวแล้ว แย่แล้ว กำลังจะดับ หรือกำลังจะไม่หายใจ ถ้ารู้จักในขณะนั้น ที่เรียกว่าดอกไม้ธูปเทียนไม่มีประโยชน์หรอกมนุษย์ แต่ถ้ามนุษย์รู้จักในขณะนี้ มีดอกไม้ธูปเทียน มีการบูชา มีการอาราธนา มีการอโหสิเวร มีการอโหสิกรรม ขอผลบุญ ขอการแก้ต่างๆได้ เวลานี้ซิมนุษย์ คือเวลาหลุดพ้นกรรม ทั้งเวรสิ่งต่างๆในปัจจุบันชาติของมนุษย์ วางใหม่ปฏิบัติใหม่ เหมือนการเรียบเรียง มนุษย์เรียบเรียงเป็นเล่ม เป็นหน้า เป็นคำกลอน แต่การเรียบเรียงผลบุญในขณะนี้ มีธูปเทียนดอกไม้ เรียบเรียงผลบุญสำหรับมนุษย์ ว่าตอนนี้จะเป็นบุตรเราก็ดี ญาติก็ดี หรือสิ่งต่างๆวัตถุมากมายก็ดี ไม่สามารถนำทางบุญของมนุษย์ได้ นอกจากตัวของมนุษย์ทุกคน ที่ต้องแก้เองทำเอง หลุดพ้นด้วยตนเอง อันนี้ต่างหากไม่ใช่มีปัจจัยมากมาย นำปัจจัยให้เขาสร้างบุญ แต่ตัวเราไม่ได้สร้าง ไม่ได้ทำ แม้แต่มีวัตถุต่างๆ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เราสั่งให้เขาทำ แต่ตัวเราไม่ได้ทำ ผลบุญจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อกายสังขาร ของมนุษย์เกิดมาเหมือนกันหมด เท่าเทียมเหมือนกันหมด เกิดมาด้วยความว่างเปล่า เวลาที่ละจากสังขารดับสูญ คือความว่างเปล่าเช่นกัน ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ต้องหา ต้องขวนขวาย ต้องสร้างเวรต้องสร้างกรรม ต้องสร้างบาปที่มนุษย์เรียกว่า กอบโกยเวรกอบโกยกรรม ของมนุษย์ในชาติปัจจุบันนี้ คือความโลภ ความโลภสำหรับมนุษย์นี้เกิดขึ้น แต่ต้องรู้จักพอบ้าง ไม่ใช่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา อยากมีทุกสิ่งทุกอย่าง ในสิ่งที่มนุษย์อยากมีทุกสิ่งอย่าง เกิดจากความโลภ ความหลง ความงมงาย คิดว่ามีแล้วสบาย มีแล้วไม่ทุกข์ มีแล้วหมดปัญหาหมดเรื่อง หมดความทุกข์ต่างๆ อันนั้นแหละคือกรรม สำหรับมนุษย์ มีไว้เพื่อประดับหน้าตา ประดับเกียรติ ประดับยศ ทำให้ตัวเองลุ่มหลง ในทรัพย์สมบัติที่ตนเองกอบโกยเอามาเป็นของตน อันนั้นไม่ใช่สิ่งที่หลุดพ้นหรอกมนุษย์ ในสิ่งที่มนุษย์คิดเช่นนั้น เพราะสิ่งที่มนุษย์หามา ทุกสิ่งทุกอย่างหามาเพื่อให้ทุกข์ ไม่ใช่หามาแล้วหลุดพ้น แต่กุศลผลบุญที่มนุษย์ได้แก้ได้วาง อันนั้นแหละคือการหลุดพ้นแห่งความทุกข์ ไม่ต้องเอาหน้าตา ไม่ต้องเอาเกียรติเอายศ เอาแค่ที่มนุษย์มี ทำได้ ไม่เดือดร้อน แค่นั้นแหละคือการหลุดพ้นจากทุกข์ของมนุษย์ทุกคน บางครั้งสมบัติมากมายสำหรับมนุษย์ ก็ช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากกรรม จากเวร จากทุกข์นี้ไม่ได้ กลับเพิ่มความทุกข์มากขึ้น เพิ่มเวรมากขึ้น เพิ่มกิเลสต่างๆสำหรับมนุษย์มากขึ้น แต่ถ้ามนุษย์ละได้เมื่อไหร่ วางได้เมื่อใด กรรมทั้งหลายเวรทั้งหลาย หรือสิ่งต่างๆที่ไม่ดีทั้งหลาย ก็หลุดหายจากชาติปัจจุบันนี้ของทุกคน เวลาบ่นไม่เลือกเวลา เวลาแก้สำหรับมนุษย์ถึงเวลาแก้ที่ต้องแก้ ต้องทำ ต้องปฏิบัติต้องวาง วัตถุวางไว้เดี๋ยวก็หาย ผลบุญมนุษย์ทำแล้วไม่สูญหาย มนุษย์ทำเมื่อไร ผลบุญเหล่านั้นก็ติดจิตวิญญาณของมนุษย์ไปตลอดชาติภพภูมิ สำหรับมนุษย์ต่างๆ ทุกอย่างที่เกิดอยู่เป็นอยู่ (คำสนทนา) ถามว่าใบยอมนุษย์เอาไว้ทำอะไร ถามว่าเอาไว้ทำอะไรหลวงพ่อถาม แล้วใบที่เรียกว่าลูกยอของมนุษย์ ที่มนุษย์ใช้กัน มนุษย์ชอบเพราะอะไร (บ้ายอ) นั่นแหละใช่ ภาษาของมนุษย์เขาเรียกว่าบ้ายอ คนนี้บ้ายอขึ้นนะเนี่ย ยอพัก มีเท่าไหร่ให้หมด ประเภทที่ยอไม่ขึ้นก็มี แต่ที่ยอไม่ขึ้นเพราะอะไร เพราะเขาไม่หลง แต่ที่หลงสำหรับมนุษย์ สำหรับมนุษย์ก็แจกจ่ายให้หมด เพราะฉะนั้นการแก้การสำหรับการทำต่างๆ ไม่ว่ามนุษย์หรือสรรพสัตว์ หรือจิตวิญญาณทุกอย่าง หลวงพ่อถามว่าทำไมมด ทำไมเขาไม่ต้องคุยกันเลย แต่ทำไมเขาเรียกว่าสามารถหนีที่เป็นฝน หอบที่เป็นไข่ หนีไปทางเดียวกันได้ เป็นเพราะอะไร เพราะเขาสื่อกันด้วยจิตนะมนุษย์ แค่รู้แค่มองเขาก็รู้ทางไปแล้ว แต่นี่มนุษย์ทั้งบ่นด้วย ว่าด้วย ทางไปก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นให้มนุษย์รู้ทางแก้ซิมนุษย์ แล้วมนุษย์ก็จะหลุดพ้นต่างๆ ถามว่าทางอะไรมนุษย์เรียกว่าตัน ถามว่าทางอะไร ทางที่มนุษย์ไม่ใช้ปัญญาทางนั้นถึงตัน แต่ถามว่ามดเนี่ย แม้แต่อยู่ในดินแต่เขาสามารถหอบไอ้ที่เขารู้ดินฟ้าอากาศได้ สามารถหอบไข่หนีที่จะเป็นฝนเป็นน้ำเพราะอะไร เขาใช้อะไร สัญชาตญาณ ความสัมผัสด้วยจิต สัมผัสด้วยจิตต่างๆกับดินฟ้าอากาศได้ สัมผัสทิศทางว่าทางที่จะไป ในสิ่งเหล่านั้นหลุดพ้นจากทุกข์และกรรม แต่ทำไมตัวของมนุษย์แต่ละคน ถึงสัมผัสได้แต่เวรเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะอะไรรู้ทางเวรอย่างเดียว แต่ไม่รู้ทางบุญ ทางบุญของมนุษย์เนี่ยขึ้นไปแล้วเดี๋ยวก็หล่นไว แต่ทางเวรขึ้นแล้วไม่รู้จักหล่น หลวงพ่อถามว่าเป็นเพราะอะไร ทางเวรของมนุษย์ขึ้นกันได้ตลอด ขึ้นไม่รู้จักจบ แต่ทางบุญสำหรับมนุษย์ขึ้นไม่ค่อยได้ ถามว่าเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะไม่เห็นผลหรือว่าไม่เห็นประโยชน์ อันนี้เข้าใจที่หลวงพ่อเทศน์หรือไม่ แต่ทางเวรเห็นหมดประโยชน์ทุกอย่างว่า ทำแล้วไม่สูญเปล่า ทำแล้วไม่เสียเปล่า ได้แต่เวลาที่ทุกข์แล้วหันเห็นบุญแล้ว นึกถึงบุญแล้วเพราะอะไร ไม่รู้จะไปตรงไหน ถามว่าเวลาสำหรับมนุษย์ เวลาที่ยังดีอยู่ นึกถึงที่เราจะแก้ก่อนวางก่อน ถ้าเราไม่แก้เวลาที่กายสังขารเรายังดีอยู่ ถามว่า เราจะไปแก้ ตอนกายสังขารไม่ไหวแล้ว ส่วนเหล่านั้นจะครบกับบุญที่เราทำหรือไม่ ถามว่าครบหรือไม่ เพราะฉะนั้นกายสังขารทำได้ จิตทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง กายเราดีหมด แต่ในเมื่อมนุษย์จะนึกถึงอีกอย่าง เวลาที่รักษาไม่หายมนุษย์จะบอกว่านี่เป็นโรคเวรนะ โรคกรรมนะเนี่ย รู้แล้วทำไมไม่แก้ ถามว่ารู้แล้วทำไมไม่แก้ เพราะฉะนั้นหลวงพ่อถึงได้เทศน์ ให้มนุษย์ว่าโลกปัจจุบันสำหรับมนุษย์ที่เรียกว่ายึดติด คือสิ่งที่มนุษย์เรียกว่า ความอยากได้มากมาย แต่ไม่ได้ห่วงตนเอง หรือว่าตนเอง แต่พอกายสังขารไม่ดี เริ่มห่วงตัวเองแล้ว ห่วงตอนตัวเองมันช้าเกินไปมันสายเกินไป เพราะฉะนั้นในเวลาที่เรามีกายสังขารที่ดีอยู่ เราควรแก้ซะควรวางซะ หลวงพ่อถามมนุษย์ว่า ในเวลาที่มนุษย์ตักน้ำ มนุษย์ตักเป็นขัน หรือมนุษย์ตักเป็นโอ่ง มนุษย์ตักน้ำอย่างไร (ตอบเป็นขัน) ก็เหมือนผลบุญที่มนุษย์ทุกคนได้ทำ ตักเอาไว้ไปรวมๆ กุศลผลบุญถึงได้เพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่ตักไปทีเดียวท่วมบุญเลย อย่างที่มนุษย์เรียกว่าไม่เห็นได้อะไรเลยในการทำบุญ เพราะอะไร เพราะหวังผลอันนี้ เข้าใจที่หลวงพ่อเทศน์หรือไม่ สิ่งที่ทุกคนทำผลบุญ ตักตวงทีละน้อย ตักให้เต็มใช้เวลานาน แต่ให้ถึงจุดหมายปลายทาง ให้หลุดพ้นไม่ใช่ทำครั้งเดียวหลุดพ้น แต่แก้เวรไม่ได้ แก้กรรมไม่ได้ เพราะฉะนั้นมนุษย์ลองวางจิตใหม่ ว่าจิตของเราทำไมรุ่มร้อน จิตของเราทำไมเกิดโทสะ ทำไมจิตของเรา เราไม่ชอบสรรพสัตว์ ทำไมจิตของเรายังมีความเรียกว่ายังไม่มีเมตตาอยู่ เพราะฉะนั้นวางมนุษย์ อะไรก็ได้วางด้วยจิต ว่าสิ่งต่างๆทุกอย่างถ้าวางด้วยจิตแล้วไม่ทุกข์เลย แต่ถ้าไม่วางด้วยจิต ทุกข์มากมายนะมนุษย์ อะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด ทำไม่ได้ดังใจก็ขวางตา ขวางจิต เพราะฉะนั้นวางซิ เราไม่ยึดติดกับสิ่งของภายนอก เราไม่ยึดติดสิ่งใดภายนอกเลย เราขอช่วงที่เหลือบุญอยู่ของแต่ละคนให้เอากุศลผลบุญไปให้ได้มาก วัตถุเราก็สร้างมาเยอะ มาเยอะพอกับสิ่งที่เราทุกข์แล้ว แต่ผลบุญขณะนี้ เรายังต้องแก้อยู่ เรายังต้องแผ่เมตตาอยู่ เราต้องเอากุศลผลบุญทั้งหลายทำให้ตัวเราได้หลุดพ้น ไม่ว่าชาติใดภพใดภูมิใด สิ่งที่มนุษย์ทำได้ แก้ได้ทุกชาติทุกภพทุกภูมิ ก็มีกุศลผลบุญสำหรับมนุษย์ตลอดชาติภพภูมิ ไม่ใช่ไปชั้นวรรณะหนึ่ง กุศลผลบุญของมนุษย์ก็หาไม่เจอ ไปอีกชั้นหนึ่ง ผลบุญของมนุษย์ก็หาไม่ได้ เหลือไว้แต่เวรแต่กรรมที่มนุษย์ทำไว้ เพราะฉะนั้นพยายามแก้ใหม่วางใหม่ แล้วมนุษย์ก็จะหลุดพ้นกรรมต่างๆ ที่มนุษย์สร้างไว้จากหลายชาติหลายอดีต หลายภพหลายภูมิ การรู้จักวาง วางจากอะไร วางจากบุตรก็ดี วางจากครอบครัวก็ดี วางจากเรื่องก็ดี วางจากปัญหาก็ดี ถ้ามนุษย์วางแล้วไม่ยึดติด สิ่งต่างๆก็ไม่เป็นกรรมและเป็นเวรแก่ตัวมนุษย์ตลอดชาติภพภูมิ การห่วงทำให้ไม่หลุดพ้น การวางการแก้ ทำให้หลุดพ้นจากกรรมเหล่านั้น จากเวรเหล่านั้น แม้แต่สิ่งต่างๆ สำหรับมนุษย์ทำไมมนุษย์ไม่ดูนกล่ะ เวลาที่นกเนี่ยเติบโต มีแค่ขนขึ้นตัว เขาก็บินได้แล้ว แต่ที่เป็นบุตรสำหรับมนุษย์ แม้แต่โตขนาดไหน มนุษย์ก็ยังประคับประคองอยู่ เลี้ยงอยู่ไม่ให้เขาโต เพราะฉะนั้นให้มนุษย์วางสิ่งต่างๆ ที่เป็นกรรมเป็นเวรได้แล้ว ถือว่าเวลาที่เรายังมีอายุขัยอยู่สามารถแก้ได้ วางได้ ปฏิบัติได้ นำผลบุญหรือว่ากุศลต่างๆ ที่เราได้สร้าง ที่เราได้แก้ ที่เราได้ทำติดจิตวิญญาณของเราไปตลอดชาติภพภูมิ บุตรก็ไม่ติดไปกับเรา ครอบครัวก็ติดไปไม่ได้ ในปัจจุบันที่เป็นโลกของมนุษย์ เวลาที่เรายังอยู่มนุษย์เรียกว่ารักเรามากมาย แต่ในเวลาเราตาย ความรักไม่ได้ตายไปกับเราด้วย ตามไปกับเราด้วย มีแต่กรรมและเวร แต่ส่วนที่จะตามไปกับเราตลอดชาติภพภูมิในเวลาที่เราแก้แล้ว ทำแล้ว ผลบุญต่าง ๆ ทุกอย่าง ตามเราตลอดชาติภพภูมิ ไม่ใช่วาจาของมนุษย์ที่ต้องเรียกว่าเป็นกรรมและที่เป็นเวร สำหรับมนุษย์ต่างๆ ที่ยึดติดอยู่ แต่ถ้าผลบุญสำหรับมนุษย์ในการวางในการปฏิบัติ ผลบุญก็จะตามตัวของมนุษย์ หรือว่าจิตวิญญาณของมนุษย์ไปตลอดชาติภพภูมิต่างๆ เวลาเหนื่อยเราเหนื่อยกับเวร เวลาที่เราทุ่มเทเราทุ่มเทกับการอยากได้วัตถุต่างๆ แต่ผลบุญต่างๆ ทุกอย่าง มนุษย์ทำอย่างไร ทำอย่างขอไปทีหนึ่ง ทำอย่างโดยที่ไม่มีความหวัง หรือว่าทำเพื่อให้ถึงจุดหมายปลายทางของมนุษย์ มนุษย์ทำผลบุญอย่างไร หลวงพ่อถามมนุษย์ทุกคนทำผลบุญอย่างไร ถึงให้เกิดผลบุญสูงขึ้นในจิตของมนุษย์ ให้หลุดพ้นได้ เวลาที่ทำไปด้วยบ่นไปด้วยอันนั้นแหละกรรม แต่เวลาที่ทำไปแล้วสิ่งต่างๆทุกอย่าง สิ่งที่มนุษย์ได้แก้ด้วย วางด้วย ปฏิบัติด้วย อันนี้คือผลบุญที่มนุษย์ได้แก้แล้ววางแล้ว เหมือนข้าวเวลาที่เราไม่ฝัดเอาเปลือกออก เราก็ไม่สามารถแยกแยะได้ เหมือนผลบุญที่หลวงพ่อให้แก่มนุษย์ เวลาที่มนุษย์ฝัดออกก็ดี คัดก็ดี แล้วมนุษย์จะรู้ค่าของตนเอง ในเมื่อมนุษย์แต่ละคนได้วาง ได้แก้ ได้ปฏิบัติ แล้วหลุดพ้นต่างๆ ที่เรียกว่ากายสังขารที่ไม่ค่อยจะดี เหมือนทุกคนเพราะฉะนั้นวาจาในการทำในการแก้ อันนั้นแหละคือการหลุดพ้นในชาติปัจจุบัน สำหรับมนุษย์ต่างๆ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ที่มนุษย์อาศัย ถามว่ากายของมนุษย์เนี่ยทำมาตั้งนาน มนุษย์ขอบคุณกายสังขารหรือยัง มีแต่ว่าเขาไม่ดี ว่าเขาซุ่มซ้ามบ้าง ว่าสิ่งต่างๆบ้าง แต่กายสังขารสำหรับมนุษย์ มนุษย์ยังไม่ได้ขอบคุณกายสังขารของมนุษย์เลย ว่าสิ่งต่างๆทุกอย่างที่เราเดินได้ ที่เราหยิบได้ ที่เราเคลื่อนไหวได้ เรามองเห็นได้ทุกอย่างเขาก็รวมกัน สามัคคีอยู่ในกาย เขายังไม่แย่งกันทำเลย แม้แต่ตาไปแย่งหูสิว่าวุ่นวายไหม ถามว่าวุ่นวายไหม เพราะฉะนั้นในสิ่งต่างๆก็เหมือนกัน มนุษย์แยกบุญให้ดี แยกเวรให้ดี แยกกรรมให้ดี ว่าสิ่งต่างๆ ทุกอย่างทำไมเราทุ่มเทกับเวรต่างๆของมนุษย์ทุกอย่าง เราไม่เสียดายอะไรเลย แม้แต่แรงกายแรงจิตทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เวลาผลบุญสำหรับมนุษย์ทำกัน ถามว่าทำไมต้องคิดแล้วคิดอีกเป็นเพราะอะไร หลวงพ่อถามทุกคน กลัวไม่มีบ้าง แต่ทำไมเวลาทุ่มเทกับเวร ทำไม่คิดหน้าคิดหลังว่า ทำไมมี ถามว่าเป็นเพราะอะไร ทำไมกลับกันซะ ถามว่าเป็นเพราะอะไร ทีเวรของมนุษย์ทุกคนเนี่ย ไม่ว่าจะเป็นบุตรไม่ดีเป็นคนไม่ดีต่างๆ รู้ว่าไม่ดียังเป็นห่วงอีก ถามว่าเป็นเพราะอะไร เพราะในสิ่งต่างๆในสิ่งต่างๆ ของมนุษย์ แต่ละคนเกิดความหลง หลงสิ่งต่างๆ ทุกอย่างที่เวรทุ่มเทให้ ไม่ว่าจะเป็นบุตรก็ดี คู่ก็ดี ญาติก็ดีหรือสิ่งต่างๆก็ดี แต่ถ้ามนุษย์วางแล้วไม่ทุกข์หรอกในสิ่งที่กายสังขาร มนุษย์ทำหน้าที่เหมือนกันแต่วางด้วยจิต หลุดพ้นด้วยจิต อันนี้แหละคือการแก้สำหรับมนุษย์ทุกคน แต่ที่มนุษย์ยังวางไม่ได้เพราะอะไร เพราะความทุกข์ความวิตกกังวลต่างๆทุกอย่าง มนุษย์ลองวางใหม่แล้วแก้ใหม่ ถ้าเรายังมีความทุกข์อยู่ ความวิตกกังวลอยู่ ความเบื่ออยู่ หรือสิ่งต่างๆอยู่ ไม่หลุดพ้นหรอกมนุษย์ อันนี้เข้าใจในธรรมะที่หลวงพ่อเทศน์หรือไม่ แล้วทำไมมนุษย์ยังไปห่วงเขาอยู่ ทำไมไม่ห่วงตัวของมนุษย์ ที่ปวดที่เมื่อยบ่นไป เขาก็ไม่มาปวดด้วยเมื่อยด้วยเป็นด้วย แต่ทำไมมนุษย์ยังต้องไปทุกข์กับเขาอีก เพราะอะไร (กลัวไม่มีจะกิน) เพราะฉะนั้นไปกลัวทำไมมนุษย์ เพราะฉะนั้นวางเขาได้แล้ว แล้วมนุษย์ก็ขอให้หมดเวรหมดกรรม เอากุศลผลบุญไปให้ได้มาก อันนี้เข้าใจหลวงพ่อเทศน์หรือไม่ แต่ถ้ามนุษย์ยังไปยึดที่บุตรอยู่อีก ห่วงเขา แต่เขาไม่ได้ห่วงมนุษย์ อันนี้เข้าใจที่หลวงพ่อเทศน์หรือไม่ เพราะฉะนั้นมนุษย์ลองวางใหม่ บุตรเราเลี้ยงได้แต่กาย แต่จิตต่างๆทุกชั้นวรรณะเนี่ย เขามาจากภพใดภูมิใด มนุษย์จะไปเลี้ยงเขาถึงจิตเขาด้วยไม่ได้ ในเมื่อเราเลี้ยงกายหลุดพ้นแล้ว แต่นี้ในสิ่งต่าง ๆ เราไม่ต้องห่วงเขาแล้ว เราต้องปล่อยให้เขาเหมือนนกแล้ว ให้เขาบินเอง ให้เขาเลี้ยงตัวเอง ถ้ามนุษย์ยังห่วงก็ต้องให้เขาอยู่อย่างนั้นแหละ อันนี้เข้าใจหลวงพ่อเทศน์หรือไม่ เพราะฉะนั้นถ้ามนุษย์ไม่ห่วงแล้วก็ไม่ต้องมาเหนื่อยแบบนี้ มนุษย์จะวางความเหนื่อยความวิตกกังวลได้ ว่าสิ่งต่าง ๆ เลี้ยงเขามาพอแล้วโตแล้ว แล้วหยุดในสิ่งที่เราสร้างกายสังขารมาแล้ว อันนี้เข้าใจที่หลวงพ่อเทศน์หรือไม่ เพราะฉะนั้นวางเสียใหม่มนุษย์ รู้ว่าเป็นบุตรแต่ไม่ห่วง เอาความห่วงออก บุตรเขาจะได้เจริญ เขาจะได้ไม่เป็นกรรมและเป็นเวร พอมนุษย์ไปห่วงบุตร บุตรก็เกิดเวร แล้วความเจริญก็ไม่ค่อยเกิดกับบุตรแล้ว ถ้ามนุษย์ต้องการให้บุตรมีความเจริญ มนุษย์ก็ต้องเลิกห่วงเขา อันนี้มนุษย์เข้าใจที่หลวงพ่อเทศน์หรือไม่ เพราะฉะนั้นการเป็นบุพพการี หรือสิ่งที่มนุษย์ยึดกายสังขารอยู่ ขอให้เป็นลม ให้เป็นลมให้ตลอด เวลาเขาร้อนมาก็พัดให้เขาเย็น เขามีเรื่องมามีปัญหามา มนุษย์ก็พัดให้เขาเย็นอย่างเดียว ให้เขาได้แค่นี้ อันนี้เข้าใจที่หลวงพ่อเทศน์หรือไม่ จิตเมตตาเกิดขึ้นได้ตลอดนะมนุษย์ การมีเมตตาสำหรับมนุษย์ทุกคน ทำให้มนุษย์ทุกคน หลุดทั้งเวรด้วยทั้งกรรมด้วยในปัจจุบันชาติ การสวดสำหรับมนุษย์ที่ว่าปารมีมีไว้ทำอะไร ปารมีไว้ทำอะไร ทำไมถึงต้องมีปารมี เมตตามีทั้งหมด ใช้บทนี้ซิมนุษย์ทุกคน อันนี้เข้าใจหรือไม่ ถ้าใช้บทนี้ได้เมื่อไหร่ มนุษย์ก็สามารถชนะมารแก่จิตได้ตลอด อันนี้เข้าใจหรือไม่ ถ้ามนุษย์ใช้เรียกว่าปารมี อันนี้เนี่ย มนุษย์ก็ชนะมารแก่จิต มารแก่มนุษย์ มารแก่สรรพสัตว์ มารแก่จิตวิญญาณต่างๆ ทั้งหมด เพราะอะไร เมตตาปารมีปัญญาก็เกิดจากเมตตา ในสิ่งที่วิริยะก็เกิดจากเมตตา ทุกอย่างมีหมดในกายสังขาร เมตตาทุกอิริยาบถเลย อันนี้เข้าใจหรือไม่ ไม่ใช่แค่ท่องไปอย่างเดียว แล้วไม่รู้ว่ามีอะไรบ้างในสิ่งที่เรียกว่าปารมีต่างๆ ก็อยู่ในกาย มันอยู่ในกายสำหรับมนุษย์ อันนั้นถ้ามนุษย์วางแล้ว จิตของมนุษย์เกิดเมตตาในสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งต่างๆของมนุษย์ที่เป็นกรรมที่เป็นเวร ในสิ่งเหล่านั้นมองแล้วผ่านเลยไป ไม่อาฆาตไม่พยาบาท อันนี้เขาเรียกว่าจิตเมตตาเกิดขึ้น อันนี้เข้าใจที่หลวงพ่อเทศน์หรือไม่ แต่ในสิ่งที่มนุษย์ยังมีแต่ละคน คนโน้นดีบ้างคนโน้นไม่ดีบ้าง ก็อย่าเอามาเปรียบเทียบ สิ่งใดไม่ดีแก่คนใดก็แล้วแต่ เมื่อรู้ว่าไม่ดีก็วางลง (ก็อย่าเอามาเปรียบเทียบ) เอาสิ่งดีๆ สำหรับมนุษย์เก็บไว้ในจิต ให้เกิดเมตตา อันนี้เข้าใจหรือไม่ อย่ามาปะปนกัน เอาดีกับไม่ดีมารวมกัน ในสิ่งที่รวมกันแล้ว มนุษย์ก็ไม่รู้ตัวเองว่า ตัวเองวางได้แค่ไหนปฏิบัติได้แค่ไหน หลุดพ้นได้แค่ไหน เพราะรวมกัน เอาสิ่งที่ดีเข้าจิต เอาสิ่งที่ไม่ดีออกจากจิต เอาผลบุญที่เราแก้เราทำไว้เข้าจิต เอาสิ่งที่ไม่ดีออกจากจิต เหมือนการถ่ายเท ถ้ามนุษย์ถ่ายเท สิ่งที่ดีเข้าจิตได้เมื่อใด จิตของมนุษย์ก็จะเป็นอรหันต์นาคา อรหันตนาคาสำหรับมนุษย์คือการหลุดพ้น อันนี้เข้าใจที่หลวงพ่อเทศน์หรือไม่ เพราะถ่ายเอาสิ่งต่างๆที่ไม่ดีออกหมดแล้วเหลือแต่ที่ดี กายดี วาจาดี จิตดี เป็นมิตรที่ดี ไม่ว่าจะพูดอะไร สิ่งต่างๆ วาจาของมนุษย์จะเรียกว่าศักดิ์สิทธิ์ เพราะอะไร เมตตาจิต ถ้ายังพูดไปด้วยบ่นไปด้วย ด่าไปด้วย ทำไปก็บ่นไป ถามว่าเมื่อไหร่จะเลิกเสียทีมนุษย์ ถามว่าเพราะอะไร (คำถามต่อผู้มีอายุขัยที่มาฟังธรรม) พันอยู่เนี่ยไม่รู้จะไปที่อื่นซะที กับสรรพสัตว์ถามว่าเมื่อไหร่จะเลิกบ่นละมนุษย์ ถามว่าเพราะอะไร เพราะรำคาญ มนุษย์ก็วางซิ เขาทำให้มนุษย์วาง ทีนี้ลองไม่บ่น เขาจะทำอย่างไรก็เรื่องของเขา เขาก็รักมนุษย์เหมือนกันแต่ในสิ่งที่เขารักมนุษย์ เขาไม่รู้จะทำอะไร เขาก็พันนัวเนียอยู่อย่างนั้นแหละ มนุษย์ก็ตีเขาบ้าง มนุษย์ก็เรียกว่าขาของมนุษย์ ก็ไปเตะเขาบ้าง (ผู้มีอายุขัยที่ทำอยู่) เพราะฉะนั้นถามว่าเมื่อไรจะเลิกเสียทีล่ะ ถามว่าเมื่อไรจะเลิก (รำคาญ) เมื่อไหร่จะเลิกรำคาญมนุษย์ เลิกรำคาญเขาได้เมื่อไหร่ เขาก็เลิกป้วนเปี้ยนกับมนุษย์นั้นแหละ เพราะเขารู้จิตของมนุษย์เหมือนกัน เพราะฉะนั้นในสิ่งต่างๆทุกอย่าง ก็ขอให้มนุษย์ปฏิบัติด้วยจิต วางด้วยจิต แล้วมนุษย์จะหลุดพ้นสิ่งต่างๆ ทุกอย่างที่เกิดอยู่เป็นอยู่ เพราะฉะนั้นพยายามวางใหม่ ถ้ามนุษย์ยังไม่หยุดที่จะทำเขา ต่อไปกายสังขารของมนุษย์ล้มเมื่อไหร่ มนุษย์จะลุกไม่ขึ้นนะมนุษย์ เพราะฉะนั้นในสิ่งต่างๆ มันไม่เกิดประโยชน์หรอก เพราะเขาก็ไม่อยากเกิดเป็นหมาหรอกมนุษย์ มนุษย์อยากเกิดเป็นมนุษย์ไหม มนุษย์ก็ไม่อยากเกิดเป็นมนุษย์ แม้แต่หมาเขาก็ไม่อยากเกิดเป็นหมาเนี่ย แต่ทำไมมนุษย์ถึงไม่เรียกว่า ทำไมไม่วางเสียบ้าง ไม่ค่อยชอบหน้านะเนี่ยให้เลิกพูดด้วย ถามว่าเมื่อไหร่จะเลิกพูดเพราะอะไร รุ่มร่ามเต็มไปหมดนะเนี่ย อันนี้หลวงพ่อไม่ได้ประจานถามเฉยๆ ว่าเมื่อไหร่จะเลิก เพราะฉะนั้นเขาก็เลือกเกิดไม่ได้ ตัวมนุษย์ก็เลือกเกิดไม่ได้เลย ในเมื่อสัตว์ก็เลือกเกิดไม่ได้ มนุษย์ก็เลือกเกิดไม่ได้ มนุษย์ก็มีเมตตาซึ่งกันและกันซิมนุษย์ แล้วมนุษย์จะไม่ทุกข์ แล้วมนุษย์จะไม่รำคาญ แล้วมนุษย์จะไม่ว้าวุ่น สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นอยู่เป็นอยู่เพราะอะไร เพราะสิ่งต่างๆบางครั้งเราก็เป็นเวรกับสรรพสัตว์ ในเมื่อเราเป็นเวรกับสรรพสัตว์ สรรพสัตว์ก็สามารถทำให้เราเดินไม่ได้เหมือนกัน เพราะอะไร ทำให้เราล้มบ้าง ทำให้เราลุกไม่ขึ้นบ้าง เพราะอะไร จ้องจะตีเขาด้วย จะใช้เท้าด้วย ตอนนี้หลวงพ่อห้ามมนุษย์ ห้ามใช้เท้า มนุษย์ใช้เท้าเมื่อไหร่ ต่อไปมนุษย์จะลุกไม่ขึ้นให้ระวังไว้ให้ดีถ้ามีสติแล้วมนุษย์จะไม่ล้มหรอก แต่ถ้าขาดสติล้มแล้วเนี่ย ใครก็ลุกขึ้นจูงให้ยืนก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นพยายามแก้ใหม่วางใหม่ เพราะสิ่งต่างๆปล่อยเขา เรื่องของเขา เขาก็ไม่อยากเกิด แต่เมื่อเราเกิดแล้ว เขาเกิดแล้ว ในสิ่งต่างๆก็ช่วยกัน ช่วยกันให้เป็นมิตร ไม่ไช่ช่วยเป็นศัตรู สิ่งต่างๆทุกอย่างที่ไม่ชอบหน้าเมื่อไหร่จะเลิกพูดด้วย ไม่ค่อยชอบหน้าเนี่ย ที่มนุษย์เรียกตัวๆ ตัวโน้นบ้าง ตัวนี้บ้าง เป็นเพราะอะไร ถามว่าเป็นเพราะอะไร ไม่ชอบหน้ามันเลย ทีหลังมนุษย์เห็นหน้าเขามนุษย์ก็หลบก็แล้วกัน มนุษย์จะได้ไม่ต้องมองหน้าเขา งั้นมนุษย์ก็จะไม่ชอบหน้าเขาอยู่อย่างนั้นแหละ ฉะนั้นให้วางใหม่ อันนี้หลวงพ่อไม่ได้ประจาน ให้มนุษย์วางก่อน ว่าสิ่งต่างๆ เขาก็ไม่อยากเกิด ในเมื่อมาเกิดกันแล้ว เราควรจะมีเมตตาต่างๆให้กันทุกอย่าง เวลาปฏิบัติแล้วมนุษย์ไม่ติดอะไรเลย อันนี้คือการหลุดพ้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มึนเมาสิ่งใดๆต่างๆอย่าไปติดเลย มนุษย์วางให้หมด สิ่งที่ติดมนุษย์ไปด้วย ขอให้เอาผลบุญนำทางไปให้ได้มาก เอาผลบุญต่างๆไปให้ได้เยอะๆ ไม่ว่าจะอยู่ในชั้นวรรณะใด ภพใด ภูมิใด มนุษย์ก็จะหลุดพ้น อย่าไปเอาเกียรติตอนตาย อย่าไปเอาผลบุญตอนที่จะสิ้นลม อย่าไปเอาตอนนั้น เพราะถ้าไปเอาสิ่งผลบุญต่างๆใกล้จะตายเนี่ย มันไม่สำเร็จ หรือว่าตอนตายที่มนุษย์ยึดว่าได้บุญมาก มากมายในการจัดพิธีตอนตาย ไม่ว่ามีทุกอย่าง ไม่ว่าจะมีหนัง มีพลุ มีอะไรก็แล้วแต่ ในสิ่งเหล่านั้นมันเป็นกรรมทั้งหมด การวางสำหรับมนุษย์ แต่ละที่แต่ละอย่าง หลวงพ่อถามซิว่า มนุษย์เวลาได้ยินเสียงพลุก็ดี มีความรู้สึกอย่างไร ถามว่ามีความรู้สึกอย่างไร แล้วมนุษย์เรียกว่าใช้ในที่เรียกว่างาน จุดแล้วส่งจิตวิญญาณ ถามว่าส่งไปให้เขาด่าจิตวิญญาณ หรือว่าส่งไปให้เขาไม่หลุดพ้นเวร มนุษย์ส่งแบบไหน เวลาที่จุดพลุเนี่ย จุดที่เรียกว่าแบบไหน ส่งไปแล้วเขาด่าด้วย ตกใจด้วย ด่าด้วย ว่าด้วย แล้วถามมนุษย์ว่า เวลาตกใจมนุษย์ด่าว่าอะไร มีเท่าไหร่ด่าหมด หน้าตาก็เปลี่ยนเขาหมด เพราะฉะนั้นถามว่า เวลาตายสำหรับมนุษย์ ห้ามจุดพลุไม่ว่าจะเป็นจิตวิญญาณก็ดี สิ่งต่างๆทั้งหลายก็ดี ในสิ่งเหล่านี้ที่มนุษย์ส่งจิตวิญญาณให้เขาไปสู่สุขติ อันนั้นเป็นสิ่งที่งมงายนะมนุษย์ เพราะสิ่งเหล่านั้นในเมื่อที่เรียกว่ากายสังขารของมนุษย์ดับแล้วเนี่ย ไม่ว่าจะเป็นพลุ เป็นไฟ เป็นตะเกียง เป็นอะไรก็ส่งจิตวิญญาณสำหรับมนุษย์ไม่ได้ นอกจากผลบุญ ผลกรรม ผลเวร จะส่งไปทางทิศใดแค่นั้นเอง ไม่ไช่ว่าต้องเอาสิ่งต่างๆทุกอย่าง แม้แต่ตายแล้วยังไปเดินจูงหน้าศพของมนุษย์ก็เหมือนกัน ห้ามทำเลยนะเนี่ย ไม่มีประโยชน์ ทำตอนเป็นซิมนุษย์ ทำไว้ไม่ว่าจะขอการบวชก็ดี การลงปาฏิโมกข์ก็ดี ขอกุศลผลบุญนี้จงได้แก่ตัวของข้าพเจ้า เราเอาไปได้ทั้งหมด แต่ถ้ามนุษย์ไปขอเวลาตายแล้ว ไปเดินจูงบ้าง ร้องไห้บ้าง หลวงพ่อถามว่าเอาอะไรไป เอาเวรไป อันนี้เข้าใจหลวงพ่อเทศน์หรือไม่ (ตอบเข้าใจ) แต่มนุษย์ยังชอบทำจูงหน้าศพบ้าง อันนั้นมันภายนอก ไม่มีประโยชน์ แต่ที่เราจะทำได้ ไปได้ หลุดพ้นได้ ส่วนกุศลผลบุญของเราต้องทำ เราเอากุศลผลบุญกอบโกยที่เรามีอยู่ไปให้ได้มาก ให้หลุดพ้นจากกรรมและเวร เมื่อตายแล้วจะไปทางไหนก็ช่าง คือไม่ไปยึดติด แต่นี่มนุษย์ไปกลับกันซะ เวลาตายมาจัดงานการใหญ่โตมากมาย แต่เวลาให้ทำบุญใส่บาตรเวลาเช้า มนุษย์ยังบ่นว่าหมดเปลือง แล้วจะกินยังไม่มี เวรเริ่มเกิดแล้ว แต่เวลาตาย ถามว่าในส่วนเหล่านั้น มนุษย์เอาอะไรไปได้บ้าง แม้แต่ข้าวที่เคาะอยู่ข้างโลง ถามว่าลุกขึ้นมากินได้ไหม แล้วมนุษย์เขาทำกันเพื่ออะไร ทำเพราะอะไร ทำเพราะไม่รู้ ในเมื่อทำเพราะไม่รู้เนี่ย เวรต่างๆ กรรมต่างๆ มันก็เกิด เวลาที่ดีใจ มนุษย์ก็เรียกว่าสิ่งที่มึนเมา เสียใจเอาสิ่งที่มึนเมาช่วย ช่วยหมด แต่ในเมื่อช่วยแล้วเนี่ย ในสิ่งเหล่านั้นทำให้เราได้อะไรไป ได้แต่กรรมไป ได้แต่เวรไป เพราะฉะนั้นให้มนุษย์แต่ละคนลองมองดูตัวเองให้ดีซิว่า ในสิ่งที่เราเหลืออยู่ เราต้องการอะไร เราต้องการเห็นบุตรหลานมีความเจริญ หรือว่าเราต้องการให้บุตรหลานหลุดพ้นกรรมและเวร เราต้องการอะไรให้สำรวจจิตของตัวเองดู ธรรมะในวันนี้มนุษย์ได้อะไรบ้าง ในสิ่งที่เรียกว่าผลบุญ ในสิ่งที่เรียกผลแห่งว่าการทำการแก้ของแต่ละคน ถ้ามนุษย์รู้จักเหมือนที่เรียกว่าเส้นด้าย ทีแรกทำด้วยความว่างเปล่า ต่อไปก็เห็นชัด ต่อไปก็เห็นเป็นเส้นเอ็น ต่อไปก็เห็นเป็นเชือก เพราะฉะนั้นผลบุญในวันนี้ขอให้มนุษย์ทำ ทำเหมือนที่หลวงพ่อเทศน์ อันนี้เข้าใจที่หลวงพ่อเทศน์หรือไม่ ค่อยๆก่อสานขึ้น เหมือนกายสังขารมนุษย์จะโตทีเดียวนะมันก็ยาก เหมือนการเติบโตของผลบุญ ทีแรกทำด้วยความว่างเปล่า ทำให้เห็นขึ้น ทำให้เห็น ทำให้เป็นความเจริญแก่ตัวเรา อันนั้นแหละคือการหลุดพ้นของกรรมต่างๆ ทุกอย่างหรือว่าทุกคน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น