วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2554

อาลัยจากแม่

อาลัยจากแม่

ครอบครัวของเรามีกัน ๔ คน คุณฉัตรแก้ว ตัวดิฉัน (พรพิมล) พี่เฟิสท์ (นายศรัณย์) และ น้องฟอร์ท(นายธาวิน) ชีวิตครอบครัวของเราเริ่มจากติดลบ แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างครอบครัวให้อบอุ่น มั่นคง คุณฉัตรแก้วตัดสินใจลาออกจากการเป็นข้าราชการครูมาทำงานในภาคเอกชน และต้องย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพหลังจากน้องฟอร์ทเกิดได้ ๑ ปี เรา ๓ คนแม่ลูกอยู่กันที่ขอนแก่น เดือนหนึ่งพ่อจะกลับ ๒ ครั้ง ชีวิตของเราอยู่กันมาอย่างนี้จนถึงปัจจุบันรวมเวลาก็เท่าอายุ น้องฟอร์ท( ๑๖ ปี) ดังนั้นภาระการเลี้ยงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนจะเป็นของดิฉันทั้งหมด โดยได้รับความช่วยเหลือจากครอบครัว ตาสมนึก-ยายยวนใจ ละลี และ คุณตาวิชัย –คุณยายชลอ พ่อแม่ของดิฉัน ได้กำลังใจและคำปรึกษาจากคุณฉัตรแก้ว
ถ้าจะถามว่าเลี้ยงลูกอย่างไรต้องตอบว่าเลี้ยงด้วยหัวใจทั้งดวง และตัวทั้งตัวที่มี ดิฉันคิดว่าเลี้ยงลูกก็เหมือนการปลูกต้นไม้ที่เรารัก รักมากๆ รักสุดขั้วหัวใจ ดิฉันหมั่นรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย ไล่แมลง เฝ้าถนอม ดูแล อยู่ใกล้ๆ เฝ้าดูเขาแตกกิ่งก้านสาขา จากกิ่งน้อยๆเปราะบางจนเป็นกิ่งใหญ่ลำต้นแข็งแรงให้เห็นในตอนนี้ แต่ถ้าต้นไม้น้อยๆจะเลื้อยหรือแตกกิ่งก้านไปนอกลู่นอกทาง ดิฉันจะเห็นก่อนใครเพราะฉันเป็นคนเฝ้าสวนนี้อยู่ ดิฉันจะเริ่มเลียบๆ เคียง ๆ พูดคุยกับลูกจนเขามั่นใจว่าเราเป็นพวก พอได้เป็นทีมแล้วก็เสร็จเรา เพราะเขาจะเริ่มเล่า เราก็จะเข้าช่วยได้ แต่พอเริ่มเป็นวัยรุ่นต้องอาศัยคุณฉัตรแก้วช่วยด้วย ระดับจัดการเข้ามาต้องวางแผนสู้อย่างมีระบบและมีชั้นเชิงกว่าระดับปฏิบัติการอย่างดิฉันแน่นอน วิธีการก็เหมือนเดิม เราจะช่วยกันตะล่อมลูกด้วยการคุยกันและให้แนวทาง แต่บางเรื่องก็ต้องเด็ดขาดเช่นกัน วิธีการที่เล่าให้ฟังนี้ดีค่ะ เพราะทำให้ครอบครัวเรามีความสุข คุยกันได้ทุกเรื่อง (ทุกเรื่องจริงๆค่ะ) ทุกครั้งที่ พ่อแม่ลูก๔ คนมารวมตัวกันจะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข มีแต่รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ เรื่องที่โม้ใส่กันจะเริ่มจากเรื่องใหม่ล่าสุด ถ้าหมดแล้วเราก็จะโยงไปคุยเรื่องเก่าที่คุยเมื่อไรก็ต้องฮาทุกที ครั้งหนึ่งคุณฉัตรแก้วถึงกับออกปากว่า “ครอบครัวเราตลกนะ รวมกันที่ไรมีแต่ความสุข สนุก” ฉันเองก็นั่งอมยิ้มอยู่ในใจที่เต็มไปด้วยความสุขเช่นกัน
แต่ใครเลยจะคาดคิดว่าเราจะต้องมีวันนี้ วันที่เราต้องสูญเสียพี่เฟิสท์ ต้นไม้ต้นใหญ่อย่างไม่มีวันกลับ จนถึงตอนนี้เรา ๒ คนยังสับสนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของเรา เช้าวันเสาร์ที่ ๑๔ คุณฉัตรแก้วโทรไปหาที่ Melbourne แต่เช้า ดิฉันยังสงสัยว่าใครกันนะ เวลาตอนนั้นประมาณเกือบ ๙ โมงเช้า เมืองไทยก็ราว ตี ๔ พอรับก็เป็นพ่อเฟิสท์ (คุณฉัตรแก้ว) บอกว่า “วันนี้พ่อจะไปตีกอล์ฟ” ดิฉันเดาว่าอ้อ รีบโทรมาบอกก่อนเพราะดิฉันนัดว่าจะโทรไปหาวันนี้ ดิฉันก็ตอบรับว่า “ค่ะ” แต่เขาก็ถามอีกว่า “ทำอะไรอยู่ ยุ่งไหม เครียดไหม” ก็ตอบว่า “ไม่ยุ่ง ก็ทำงานไปเรื่อยๆเพราะเป็นช่วงปิด summer กว่ามหาลัยจะเปิดก็ปลายกุมภาพันธ์” พ่อเฟิสท์ เล่าต่อว่า “ตอนนี้พี่เฟิสท์ ได้รับอุบัติเหตุรถยนต์” ดิฉันถามว่า “ลูกเป็นอย่างไรบ้าง” เขาบอกว่า “ขาหัก แต่ก็หนัก ถ้าแม่กลับบ้านได้ก็อยากให้กลับ” ดิฉันเริ่มใจเสีย เป็นห่วงลูก บอกว่า “แม่จะกลับขอจัดการเรื่องตั๋วก่อน” และด้วยความทุลักทุเลโกลาหล ดิฉันได้ตั๋วเดินทางคืนนั้นเลย เวลาเที่ยงคืน ๕๐ นาที แต่ถ้าพูดแล้วก็คือเช้าวันอาทิตย์ กว่าจะถึงเมืองไทยก็ ๑๐.๓๐ น ตลอดคืนบนเครื่องบินยันเช้า ดิฉันเฝ้าคิดว่าพี่เฟิสท์ ของแม่จะเป็นอย่างไรหนอ แต่ถ้าขาหักก็ไม่น่าจะเป็นอะไรมากนัก พ่อเฟิสท์ คงอยากให้มาช่วยดูแลลูกเพราะต้องเข้าเฝือกและเพราะทุกคนต้องทำงาน แต่ก็ยังนึกสงสัยว่าทำไม พ่อเฟิสท์ น้ำเสียงเครือๆ หรือว่ามีอะไรหนักหนาสาหัสเกิดกับลูก คิดถึงลูกภาพต่างๆของลูกก็ผุดขึ้นมาเป็นลำดับตั้งแต่เขาเป็นเด็กจนโตเป็นหนุ่ม ภาพความน่ารัก ความซน ความดื้อ พร่างพรูออกมา ดิฉันร้องไห้ตั้งคำถามให้กับตัวเองอีกว่า “ถ้าลูกอาการหนักมากล่ะจะทำอย่างไร” คิดแล้วก็ปวดหัวใจ ดิฉันนึกถึงคุณพระคุณเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวง “ขอให้ช่วยคุ้มครอง พี่เฟิสท์ ของแม่ให้ปลอดภัยทั้งร่างกาย จิตใจ และสมอง แต่ถ้า พี่เฟิสท์ จะต้องเจ็บปวดทรมานก็ขอให้ลูกรักละสังขารไปอย่างสงบด้วยเถิด” ดิฉันคิดวกไปวนมาไม่มีเรี่ยวแรง กินอะไรก็ไม่ได้ ขอไวน์ มาจิบนึกว่าจะดีขึ้นกลับคิดวกวนมากกว่าเก่า ถึงสนามบินดอนเมืองมองหาพ่อเฟิสท์ ก็ไม่เห็น ใจเริ่มเสียอีกแล้ว ลูกเป็นอะไรเหรอพ่อถึงมารับแม่ไม่ได้ แต่แล้วก็เห็น อาจารย์เกษรา ยุทธ คนขับรถ และคุณพรโรจน์ ถามว่า “พี่เฟิสท์ เป็นอย่างไรบ้าง” อาจารย์เกษ บอก “ตอนนี้ก็อยู่โรงพยาบาลคุณฉัตรแก้วก็อยู่ที่โน่น” เลยบอก อาจารย์เกษว่า “งั้นเราไปโรงพยาบาลเลยนะ” ทุกคนก็เออออด้วยแต่ก็ดูเงียบๆ แปลกๆ ดิฉันเลยหันไปถามคุณหนวด (คุณพรโรจน์) ว่า “หนักไหม” คุณหนวดก็พยักหน้าว่า “ก็หนัก” ดิฉันก็เริ่มร้องไห้มือไม้อ่อน อาจารย์เกษบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอกทำใจดีๆ” สักพัก พ่อเฟิสท์ โทรมาบอกว่า “ไม่ต้องไปโรงพยาบาลแล้วตอนนี้เขาขับรถกลับมาแล้วกำลังจะถึงบ้าน ให้เข้าบ้านก่อนแล้วค่อยออกไปด้วยกัน” พอถึงบ้านพ่อเฟิสท์ กับน้องฟอร์ท ก็มาถึงพอดี ดิฉันวิ่งไปหา ฟอร์ท กอดลูกไว้ถามว่า“ไปเยี่ยมพี่หรือยัง” ถามพ่อเฟิสท์ ว่า “เฟิสท์ เป็นอย่างไร” พ่อก็ได้แต่กอดแม่ไว้บอกว่า “ไม่เป็นไร” แม่ร้องไห้ชวนพ่อไปหาลูกเถอะ “ไปเถอะพ่อ ไปเดี๋ยวนี้ แม่อยากเห็นลูก’ พ่อพาแม่เข้าไปในห้องแล้วก็ปลอบแม่ไว้บอกว่า “หมอบอกว่า ๕๐ ๕๐ให้แม่ทำใจ” แล้วก็เล่าอุบัติเหตุให้ฟัง บอกแม่อีกว่า “พ่อว่าถ้าลูกอยู่แล้วทรมานก็น่าจะให้ลูกไปนะ” แล้วก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นบอกว่า “ไม่ทันแล้วเพื่อน” พ่อเฟิสท์ ร้องไห้โฮ เราร้องไห้ ไม่มีใครทนได้อีกแล้วกับเหตุการณ์นี้ เรานอนกอดกันร้องไห้ ดิฉันบ่นว่า “ทำไมต้องเป็นขนาดนี้” พ่อบอกว่า “พ่อผิดเองที่ซื้อรถให้ลูก เหมือนกับรีบให้ลูกไปตาย พ่อเสียใจพ่อยังไม่ได้ทำอะไรให้ลูกอย่างที่ตั้งใจ พ่อเสียใจจริงๆ” ดิฉันก็ปลอบใจว่า “พ่อรู้ไหมพ่อทำดีที่สุดแล้ว พวกเราเข้าใจว่าพ่อรักเราแค่ไหน พ่อทุ่มให้พวกเราหมดทั้งตัว หมดทั้งใจ พ่ออย่าเสียใจเลย พี่เฟิสท์ เขาหมดเวรหมดกรรมแล้วค่ะ” “ลูกทรมานไหม” พ่อบอกว่าลูกไม่ทรมาน ลูกไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ “สาธุ ลูกแม่ งั้นพี่เฟิสท์ ก็ไปดีไปมีความสุขแล้วพ่อ เราอย่าคิดให้ปวดหัวใจกันเลยว่าลูกตายเพราะแม่รับไม่ได้จริงๆ เราคิดว่าเราส่งเขาไปเรียนเมืองนอก แล้วเขาก็จะไปมีชีวิตอยู่ที่โน่นเลย แม่จะไม่แต่งชุดดำเพราะลูกแม่ไม่ได้ไปไหน”
ถ้าจะมองไปข้างหน้าต้นไม้ ๒ ต้น ของเรากำลังงามตามความเป็นตัวตนของตนเอง กำลังออกใบ ออกดอกสะพรั่งงามอยู่ท่ามกลางสวนในใจของเรา เราภูมิใจ เรามีความสุข เรารอเวลา รอเวลาที่จะได้เห็นผลในอนาคตอันใกล้นี้ แต่จะอย่างไรก็ตามแม่ก็รู้ว่าเฟิสท์ ของแม่มีความสุขมากที่สุดในชีวิตเฟิสท์ เล่าว่า “คิดดูนะแม่ใครจะคิดว่าเด็กโรงเรียนกัลยาอย่างเฟิสท์ จะเข้ามาเรียนที่เอแบคได้’ พี่เฟิสท์ เล่าต่อว่า “ใครจะเหมือน เฟิสท์ มีเพื่อนตั้งแต่จนที่สุด ถึงรวยที่สุด” “เฟิสท์ ไม่ได้ติดหรูนะแม่ เฟิสท์ รู้ว่าต้องทำอย่างไร …” “แม่ แม่ แม่ดูกล้าม เฟิสท์ ซิ…” “แม่ผม เฟิสท์ ยาวหรือยัง …” “แม่ครับ เฟิสท์ จะกลับบ้าน แม่ต้มกระดูกหมูใส่ผักกาดกระป๋องนะ กระดูกหมู เยอะ เยอะ …” “แม่ แม่ เฟิสท์ จะพาเพื่อนคนจีนไปบ้านขอนแก่นนะ …” “แม่ แม่ แม่ดูรูป อากีโก นี่ เพื่อนใหม่ …” “แม่ แม่ ดูร้านนี้นะ ร้านไก่โอ่ง เฟิสท์ กับเพื่อนๆ ไอ้ สูน ไอ้ ขาว ไอ้ คี? (แม่ฟังไม่ชัด) มาเป็นประจำจนได้บัตรสมาชิกราคาพิเศษ” “แม่ แม่ เฟิสท์ รั๊ก รัก รถคันนี้ …” “แม่ แม่ เฟิสท์ รักที่จะเรียนที่นี่ เฟิสท์ มีความสุขที่ได้เรียนที่นี่ ขอ ๕ ปี นะ ตอนนี้ เฟิสท์ รู้แล้วว่าต้องเรียนต้องทำอย่างไร ...”

ครับ.... พี่เฟิสท์ ลูกรัก ขอให้ลูกสานฝันที่สวยงามอย่างมีความสุข พ่อ แม่ น้อง ญาติ และครอบครัวของเพื่อนที่เป็นเสมือนญาติทุกครอบครัว ขอให้พี่เฟิสท์ หลับฝันดี ที่ใด ภพใดที่ดีมีความสุข ขอให้ พี่เฟิสท์ ได้ไปอยู่ที่นั่นนะลูก ลาก่อนนะพ่อนกหงส์หยกตัวสวยของแม่ พ่อกล้ามใหญ่กางเกงในโต ของพวกเรา

Have a nice stay abroad!
แม่ของเฟิสท์ เอง
(จันทร์ที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๔๙)
๖.๔๒ น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น