ธรรมะบางส่วนจากหลวงพ่อ
มนุษย์ทุกคนที่เกิดมา เกิดมาใช้เวรใช้กรรมที่ตัวเองได้ทำไว้ สร้างไว้ ตั้งแต่อดีตจนถึงในปัจจุบันชาติ ที่กำลังเกิดอยู่เป็นอยู่ ทุกวันและเวลา เวรในอดีตชาติที่ติดจิตวิญญาณมา พอมามีกายสังขารทุกคนก็ต้องใช้กรรม ใช้เวรเหล่านั้นไม่รู้จบสิ้น เวรเข้ากายของมนุษย์ เข้าจิตของมนุษย์ เข้าได้หลายทาง เวรเกิดจากการกระทำด้วยกาย เวรเกิดจากวาจาการด่า การว่า การแช่งทั้งหลาย บางคนคิดว่า การสร้างเวรสร้างกรรมเกิดจากการะทำด้วยกายอย่างเดียว แต่หารู้ไม่ว่าเวรที่เกิดจากวาจา ยิ่งกว่าหลายเท่าของกายที่สร้างเวร ทุกคนเกิดมาทุกข์ ทุกข์กับความไม่มี ทุกข์กับเรื่อง ทุกข์กับปัญหา ทุกข์กับวาจาของคนอื่น ทุกข์กับเพื่อน ทุกข์กับญาติ ทุกข์กับคู่ ทุกข์กับบุตร ทุกข์กับสังคม ทุกข์กับธรรมชาติ ทุกข์กับโรค ทุกข์กับทุก ๆ อย่างที่เข้ามาในชีวิตของมนุษย์ เขาเรียกว่าเกิดมาใช้เวร ความคิดความวิตกกังวล ความคิดล่วงหน้า สารพัดที่จะทุกข์ เกิดมาพอลืมตามองโลก ก็ทุกข์แล้ว ร้องแล้วทุกข์แล้ว ในสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นความทุกข์ มันอยู่ในจิตของเรา มันอยู่ในความนึกคิดของตัวเรา แล้วจะหาสิ่งใดเข้าไปแก้กับความทุกข์ทุก ๆ อย่างที่อยู่ในจิตของเรา แต่ถ้าเราทุกข์กับกายสังขารที่เป็นแผลที่มองเห็น ที่เป็นภายนอกยาในปัจจุบันรักษาได้ แต่ถ้าเป็นความทุกข์ ความวิตกกังวลปัญหาและเรื่องที่มันอยู่ในจิต เราจะเอาอะไรเข้าไปรักษา เราต้องเอาผลบุญที่เราทำด้วยกาย ที่เอ่ยด้วยวาจา ของเราเข้าไปรักษา รักษาสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ดีที่ทุกข์อยู่ในจิต เราต้องแก้ต้องวางต้องปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ให้เหมือนกับที่เราหายใจ ทุกลมหายใจที่เข้าออกคือมีสติอยู่ตลอด เอาสติของตัวเราเป็นยามคอยดูแลรักษา คอยปกป้องสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายที่เข้ากายเข้าวาจาเข้าจิต ไม่ให้เข้าหรือเมื่อเข้าเป็นแล้วก็ขอให้สิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ดีทั้งหลายผ่านเลยไป เหมือนน้ำที่ไหลผ่าน เมื่อผ่านแล้วก็อย่างให้ขังอยู่ตามหลุมตามบ่อ คืออารมณ์หรือโทสะของตัวเรา ไม่มีสิ่งใดทั้งหลายนอกจากกุศลผลบุญ ที่จะช่วยรักษาแผลที่อยู่ในจิตของทุกคนที่เกิดอยู่เป็นอยู่ การปฏิบัติ การวาง การแก้ ไม่ยากเกินไปสำหรับทุกคน เราต้องรู้ก่อนว่าเราจะปฏิบัติอย่างไร เราจะแก้อย่างไร สิ่งนี้เกิด เรื่องนี้เกิดปัญหานี้เกิด เมื่อเกิดแล้วจะแก้อย่างไร เอาอะไรเข้าไปดับ เอาอะไรเข้าไประงับ เอาอะไรไปชดเชย ธรรมะในการแก้ การวางก็ไม่ต่ างอะไรกับในปัจจุบันในความเป็นอยู่ของทุกคน เราวางทีละอย่าง เราแก้ทีละอย่าง การแก้แก้ที่การกระทำของตัวเรา สิ่งใดที่ไม่ดีที่ตัวเราทำอยู่ เราก็เลิกทำ มีหลายอย่างที่ไม่ดี วาจาไม่ดี จิตที่ไม่ดี เราก็เลิกเราก็วาง อารมณ์ที่ไม่ดี โทสะที่ไม่ดี สายตาที่ไม่ดี ความคิดที่ไม่ดี ความวิตกกังวลความคิดที่ล่วงหน้า เราก็เลิกคิดเลิกทำ ในการมีสติที่คอยยับยั้งไม่ให้ทำ แต่ทั้งหลายเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ระงับ แต่ไม่ได้การหลุดพ้น การระงับเหมือนการขอร้อง ขอร้องอย่ามีเรื่องกัน แต่การแก้คือแก้โดยการเอาผลบุญให้เลย เอาผลบุญให้แก่โทสะ เอาผลบุญให้แก่ความขุ่นมัว เอาผลบุญให้แก่จิตที่เป็นเวร เอาผลบุญให้แก่มนุษย์ที่เป็นเวร ในการที่เราเอาผลบุญให้ คือการแก้ แต่ในการใช้สติยับยั้งคือการขอร้อง เป็นข้อเปรียบเทียบให้เห็นในธรรมะ เป็นขั้นตอน ขั้นตอนที่หนึ่งใช้สติระงับขั้นตอนที่สองเอาผลบุญให้คือการแก้ แก้ให้หลุดพ้นจากจิตของเรา จากวาจาของเรา ให้หลุดพ้นจากสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย ทั้งภายในภายนอกของตัวเรา การแก้ด้วยผลบุญต้องใช้เวลาเป็นวันเดือนเป็นปี เหมือนการเติบโตของกายสังขาร ที่เราโตมามีประสบการณ์มาทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องใช้เวลา ผลบุญก็เช่นเดียวกัน แต่ในการกระทำทำแค่วันนี้ วันเดียวแต่ทำทุกวัน ทำแล้วไม่หวังผลทำแล้ววาง ขอเพียงให้เราทำในวันนี้ให้ดีให้ได้ ให้ได้ดังคำสอนที่ได้ฟังมาได้ยินมาที่จดจำมา ว่าเช้าแก้อย่างไร เย็นแก้อย่างไร เอาผลบุญให้แก่อะไรของแต่ละวัน ส่งใดเกิดก็แก้สิ่งนั้น โทสะเกิดก็เอาผลบุญให้แก่โทสะ วันนี้ทุกข์กับบุตรก็เอาผลบุญให้แก่บุตร ทุกข์กับโรคที่เป็นอยู่ก็เอาผลบุญให้แก่โรคที่เป็น วันนี้มีความคิดความวิตกกังวลก็เอาผลบุญให้แก่ความคิดความวิตกกังวล ทุกคนมีหมด ทุกคนนำมาหมด ทุกคนนำมา ติดจิตวิญญาณมา ความอาฆาตพยาบาตก็ติดจิตวิญญาณมาเหมือนการฆ่าปลาจิตวิญญาณปลาที่อาฆาตพยาบาตก็ติดมือที่ฆ่ามา เหมือนการฆ่าไก่จิตวิญญาณไก่ก็ติดมือที่ฆ่ามา ติดมาทั้งหมด ทำไว้ในอดีตชาติหรือปัจจุบันชาติ ติดมาทั้งหมด ขอเพียงให้เราทำวันนี้ให้ดี ให้ได้ทำอย่างไร คือ 1 เช้าเราใส่บาตรพระที่บิณฑบาตเวลาเช้า เพราะการใส่บาตรพระที่บิณฑบาตใช้เวรได้ สิ่งใดที่ทำให้เราทุกข์อันนั้นเป็นเวรกับเรามา การใส่บาตรพระเราก็ต้องทำให้ถูกวิธีด้วย กินอยู่อย่างไร ให้ใส่อย่างนั้น ถ้าเราทำดีทุกวัน เราคงทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นกินอย่างไรใส่อย่างนั้น แล้วเราไม่ทุกข์ด้วย แล้วทำได้ทุกวันด้วย กินข้าวกินน้ำกินขนม เราก็ใส่บาตรด้วยข้าวด้วยน้ำด้วยขนม เอาข้าวใส่ถุง เอาน้ำใส่ถุง เอาขนมใส่ถุง รวมกันเป็น 1 ชุด แล้วเราก็มาจบข้าวใส่บาตรด้วยคำว่า ให้ตั้งนะโม 3 จบก่อน ที่ให้เราตั้งนะโมก่อนเพราะเราระลึกถึงครูบาอาจารย์ที่สอนเราที่บอกการแก้เวรแก้กรรมให้แก่ตัวเรา นะโมตัสสะภะคะวะโต อระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ 3 จบ แล้วกล่าวคำว่า อะหังภันเตโภชะนานัง สาลีนัง ปริสุทธัง พุทธสาวกสังฆัง ปิณฑะปาตังโสโหตุ ขอใส่ลงในบาตร เวลาพระให้พรเราก็รับพร เมื่อรับพรเสร็จแล้วเราก็มากรวดน้ำ อิมินาบทใหญ่
ในการทำบุญใส่บาตรของแต่ละวัน ควรจัดเป็นชุด ขุดแรกเรากรวดน้ำให้ตัวเองก่อน ส่วนชุดต่อไปคือการแก้ ว่าเราจะแก้เอาผลบุญให้แก่สิ่งใด ให้เจาะจงของแต่ละชุดอย่ากรวดน้ำให้รวม ให้เจาะจงตัว ตัวเอง 1 ชุด บุตร 1 ชุด โรค 1 ชุด (เป็นตัวอย่าง) แต่ทุกวันเราต้องมีก่อนได้ก่อน ตัวเองเป็นหลักเหมือนการกินข้าวเรากินคนละจานไม่ได้กินรวมกัน กุศลผลบุญใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้ กินข้าวใครกินใครอิ่ม เรากินเราอิ่มผลบุญก็เช่นเดียวกัน เราใส่บาตรกรวดน้ำแจกจ่ายผลบุญให้แก่สิ่งต่าง ๆ เสร็จแล้ว เราก็ดำเนินชีวิตตามปกติคือทำมาหากิน วันหนึ่ง ๆ เรามองอารมณ์เรามองจิตของเราวันนี้มีสิ่งใดมากระทบทำให้เกิดโทสะ ทำให้เกิดความชอบไม่ชอบ ในจิตของเราบ้าง ใช้สติควบคุมไม่ให้สิ่งต่าง ๆ มาทำให้เราทุกข์ ไม่ให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง อยู่อย่างระวัง มีสตินำทาง ระวังความคิด ระวังความว้าวุ่น ช่วงกลางคืนเราก็สวดมนต์ อุทิศส่วนกุศล แผ่เมตตา ให้แก่เจ้ากรรมนายเวร ให้แก่โรคต่าง ๆ ที่อยู่ในกายสังขาร ที่เป็นโรคเวรทั้งหลายโรคกรรมทั้งหลาย ทั้งอดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ จงได้แก่มนุษย์ทั้งหลาย สัพพะสัตว์ทั้งหลาย จิตวิญญาณทั้งหลาย ทุกชั้นวรรณะ ทุกพื้นทุกภพทุกภูมิ ขอจงได้รับกุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้สวดมนต์ในวันนี้ กุศลผลบุญในการสวดมนต์ เราอุทิศ แผ่เมตตาให้รวมได้ทั้งหมด เหมือนในการฟังพระธรรมะเทศนา เราฟังพร้อมกันหลาย ๆ คน ไม่เหมือนใส่บาตร ใส่บาตรเราต้องเจาะจงแต่ละอย่าง ในการสวดมนต์ของแต่ละบท ก็มีธรรมจักรยอดพระกัณไตรปิฎก บารมี 30 ทัศ และคาถาต่าง ๆ ก่อนสวดมนต์เราก็เตรียมธูปเทียนดอกไม้ ให้ใช้ดอกบัว หรือกุหลาบ หรือมะลิมาลัย ก่อนบูชาอาราธะนาเราต้องถอนวาจาขออโหสิเวร ขออโหสิกรรมก่อน
1. จุดเทียนซ้ายขวา ธูป 3 ดอก แล้วตั้งนะโม พร้อมกัน 3 จบ พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา (เอ่ยชื่อนามสกุล) ขออโหสิเวร ขออโหสิกรรม แก่วาจาที่เป็นเวรทั้ง สิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ดีทั้งหลาย ที่รู้ก็ดีที่ไม่รู้ก็ดีที่เจตนาก็ดี ที่ไม่เจตนาก็ดี ข้าพเจ้าขออโหสิเวรขออโหสิกรรม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเทอญ อันนี้คือการถอนวาจาขออโหสิเวรอโหสิกรรม ควรทำทุกครั้งก่อนบูชาพระสวดมนต์
2. จุดเทียนซ้ายขวา ธูป 3 ดอก ตั้งนะโม 3 จบพร้อมกัน พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา ข้าพเจ้าเอ่ยชื่อนามสกุล ขอบูชาด้วยดอกไม้ ธูปเทียนขอให้ถึงทุก ๆ พระองค์
3. ธูป 3 ดอก จุดแล้ว ตั้งนะโม 3 จบ พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา พุทธังอาราธะนานัง ธัมมังอาราธะนานัง สังฆังอาราธะนานัง ข้าพเจ้าขอบูชาขออาราธะนาทุก ๆ พระองค์ ข้าพเจ้าขอบุญก็ดี ขอบารมีก็ดี จากทุก ๆ พระองค์ ขอจงได้แก่ตัวของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอการสวดมนต์ ขอกุศลผลบุญนี้ ขอจงได้แก่บิดามารดา ครูบาอาจารย์ และผู้มีพระคุณทั้งหลาย เข้ากรรมนายเวร ทั้งอดีตชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ และที่เป็นมนุษย์ทั้งหลาย สรรพะสัตว์ทั้งหลาย จิตวิญญาณทั้งหลายทุกชั้นวรรณะทุกพื้นทุกภพทุกภูมิ ขอจงได้รับกุศลผลบุญตั้งแต่บัดนี้ ข้าพเจ้าขอรักษากายสังขารของข้าพเจ้า ที่เป็นโรคเวรทั้งหลายโรคกรรมทั้งหลายทั้งอดีตชาติถึงปัจจุบันชาติ ด้วยกุศลผลบุญนี้เทอญ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น